แอลพีพี ลุยธุรกิจจัดการอสังหาหวังขึ้นแท่น ท็อปไฟว์ ใน5ปี
แอล พี พี จะขยายฐานการบริหารโครงการพักอาศัยไปสู่อาคารเชิงพาณิชย์ทั้งอาคารสำนักงานในเซ็กเมนต์บีบวกซึ่งเป็นกลุ่มที่เจ้าของต้องการใช้บริการมากขึ้น รวมถึงอาคารเก่า ขยายฐานเจาะดีมานด์ อาคารเชิงพาณิชย์
แอล พี พี ชูกลยุทธ์ “Spin-off” ดันเรือธงธุรกิจบริหารจัดการอสังหาฯ รับดีมานด์ตลาดมูลค่า กว่า 4 หมื่นล้าน โตพุ่ง10% ต่อปี ตั้งเป้าผงาด “ท็อปไฟว์” ภายใน 5 ปี เล็งเข้า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 67
นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัทบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ ในเครือแอล.พี.เอ็น. กล่าวถึงทิศทางและ แผนยุทธศาสตร์ 5 ปี (2565-2569) ว่า ตั้งเป้าหมายก้าวสู่ 1ใน5 ธุรกิจให้บริการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ซึ่งการแยกธุรกิจ (Spin-off) สามารถสะท้อนมูลค่าของบริษัทได้ชัดเจนและทำให้ระดมทุนจากนักลงทุนได้ด้วยตัวบริษัทเองเพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต จากการศึกษาปัจจุบันตลาดการให้บริการบริหารจัดการอาคารทั่วประเทศ มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เป็นผลจากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวจากวิกฤติ โควิด-19 และการลงทุนของผู้ประกอบการอสังหาฯ ในการพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัย อาคารสำนักงาน และอาคารในเชิงพาณิชย์ เฉลี่ยปีละ 300,000 - 400,000 ล้านบาท ทำให้เกิดความต้องการผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการอาคาร พบว่าเติบโตเฉลี่ย 10% ในแต่ละปี
นับเป็นโอกาสของ แอล พี พี ในฐานะผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจการบริหารจัดการอาคารกว่า 30 ปี ในการ ขยายธุรกิจและขอบเขตการให้บริการครบวงจร ทั้งงานด้านวิศวกรรม ซ่อมบำรุงอาคาร บริการงานสวน บริการกำจัดแมลง การบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ รวมถึงการวางโครงสร้างบริหารโครงการ ระบบรักษาความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมประสิทธิภาพ นอกเหนือจากการใช้พนักงานรักษาความปลอดภัย ภายใต้บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) “เดิมเน้นบริหารในเครือแอล.พี.เอ็น. จะขยายสู่การบริหารจัดการอาคาร ให้กับผู้ประกอบการอสังหาฯ รายอื่นๆ จากสัดส่วนเดิม 28% เป็น 50% รวมทั้ง ขยายสัดส่วนรายได้จากงานบริการอื่นๆ ที่ไม่ใช่งานบริหารโครงการ รวมถึง การขยายธุรกิจใหม่ อาทิ งานวิศวกรรม งานซ่อมบำรุงอาคาร งานบริการ ด้านระบบรักษาปลอดภัย การบริการทำความสะอาด บริการงานสวน บริการกำจัดแมลง ฯลฯ ให้เติบโตจากสัดส่วนเดิม 30% เป็น 50% ในปี 2569”
ทั้งนี้ บริษัทจะขยายฐานการบริหารโครงการพักอาศัย ไปสู่การบริหารอาคารในเชิงพาณิชย์ ทั้งอาคารสำนักงานในเซ็กเมนต์บีบวกซึ่งเป็นกลุ่มที่เจ้าของต้องการใช้บริการมากขึ้น รวมถึงกลุ่มอาคารเก่าที่ต้องการบริการงานวิศวกรรม งานซ่อมบำรุง รวมทั้งธุรกิจโรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม คลังสินค้า ศูนย์การค้า หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล และมีความเป็นไปได้ ในรูปแบบของการร่วมทุนกับโรงแรม โรงพยาบาล เพื่อนำบริการไปใช้เพื่อให้เกิดมาตรฐานและประสิทธิภาพสูงสุด
โดยแผนยุทธศาสตร์ 5 ปีนี้ ตั้งเป้าหมายรายได้ 2,300 ล้านบาท ในปี 2569 จาก สิ้นปี 2564 มีรายได้ 857 ล้านบาท โดยปี 2565 คาดมีรายได้ 1,200 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 22% สูงกว่าตลาดธุรกิจบริการที่เติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี พร้อมประเมินกำไรสุทธิ ของ แอล พี พี ไว้ที่ 300 ล้านบาท หลังจากได้เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ แล้ว จากปี 2564 กำไรสุทธิ 100 ล้านบาท ซึ่งในปี 2567 คาดมีกำไรสุทธิที่ระดับ 200 ล้านบาท
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ