ลลิลฯ เล็งผุด 12 โครงการ 8 พันล. เผย5ปัจจัยบวกหนุนอสังหาปีนี้
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ฯ มั่นใจอสังหาฯ ปี 65 ขยายตัวอย่างต่ำ 10% ชี้ 5 ปัจจัยบวก 1. มาตรการรัฐ 2. จีดีพี ขยายตัว 3-4% 3. อาการผู้ติดเชื้อโอมิคอรนไม่รุนแรง 4. ดอกเบี้ยยังต่ำ 5. ราคาบ้านยังไม่ปรับขึ้น ดีมานด์อั้นสะสมกว่า 2 ปี หนุนตลาดโตต่อเนื่อง เผยแผนลงทุนปี 65 เปิดตัว 10-12 โครงการมูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 8,500 ล้านบาท รับรู้รายได้ 7,200 ล้านบาท เติบโต 10%
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 65 คาดว่าจะขยายตัวที่ 3-4% ซึ่งต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดกาแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยในปีนี้โควิด-19 ยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ การแพร่ระบาดของสายพันธุ์ใหม่ นอกจากนี้การปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก จะส่งผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศบ้างเล็กน้อย ขณะที่กำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอจากผลกระทบโควิด-19 และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปีนี้จะมีปัจจัยลบที่ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า10% จากปีก่อน โดยมี 5 บวกที่จะส่งผลต่อการขยายตัวของตลาดรวมในปีนี้ คือ
1. มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคา ไม่เกิน 3 ล้านบาทออกไปจนถึงสิ้นปี 65 การ ผ่อนปรนเกณฑ์ LTV จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
2. การขยายตัวของ จีดีพี 3-4% ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้ธุรกิจต่างๆ เกิดการจ้างงาน และการหมุมเวียนเงินในระบบเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภค
3. ความรุนแรงของผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาการไม่รุนแรงเท่ากับสายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้บริโภคไม่กังวล และไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นทำให้ผู้บริโภคออกมาซื้อที่อยู่อาศัย ได้มากขึ้น
4. อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะมีการปรับขึ้นถึง 3 รอบ แต่เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ จะปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเงินสำรองในระบบของประเทศไทยยังมีอยู่จำนวนมาก และ
5. ราคาขายที่อยู่อาศัยยังไม่ปรับขึ้น ประกอบกับดีมานด์สะสมที่มีจำนวนมาก ซึ่งเกิดจากการชะลอตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ที่ได้รับผลกระทบเศรษฐกิจชะลอตัวและการระบาดของโควิด-19 ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดยังมีดีมานด์อั้นสะสมและมาตัดสินใจซื้อในปีนี้
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ ลลิลฯ กล่าวว่า"แม้สภาวะเศรษฐกิจ และสภาวะอุตสาหกรรมในปี 65 ยังไม่เอื้ออำนวยนัก แต่ ลลิลฯ เชื่อมั่นในแผนกลยุทธ์ การบริหารงาน และความเชี่ยวชาญในตลาดแนวราบ ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานของลลิลฯ เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และก้าวไปสู่การเป็น National Housing Company และเป็น 1 ใน 5 แบรนด์ในใจของผู้บริโภค เมื่อต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบระดับราคา 2-8 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่ม 10-12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายสำหรับปี 65 ไว้ที่ 8,500 ล้านบาท และมีเป้ายอดรับรู้รายได้ที่ 7,200 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตจากปีก่อนหน้า 10%
“สำหรับสถานะการเงินของ ลลิลฯ ในปีนี้มีความแข็งแกร่งอย่างมาก โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน 0.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.4-1.5 เท่า นอกจากนี้ ลลิลฯ ยังมีกระแสเงินสดสำรองเพื่อรองรับการขยายการลงทุนโครงการใหม่ๆ อีกกว่า 1,000 ล้านบาท โดยในปี 65 นี้ ลลิลฯ ได้เตรียมงบซื้อที่ดินไว้ 1,100-1,300 ล้านบาท และพร้อมจะปรับเพิ่มให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจตามแผนงาน และการเติบโตอย่างยั่งยืน” นายชูรัชฏ์ กล่าว
ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา