PREBฮุบงานใหม่2พันล้านแบ็กล็อกพุ่ง-Q4ฟอร์มสวย
PREB จ่อเซ็นสัญญางานคอนโดมิเนียมใหม่ มูลค่าราว 2 พันล้านบาท คาดเซ็นสัญญาเร็วๆ นี้ หนุน Backlog พุ่งแตะ 9 พันล้านบาท กินยาวปี 2566 พร้อมจัดทัพชิงงานใหม่ 3-5 พันล้านบาท หวังได้งาน 20-30% เสริมรายรับอนาคต ส่วนโค้งท้ายเชื่อฟอร์มสวย
แหล่งข่าววงการอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ล่าสุดทาง บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ PREB ผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของไทยนั้นได้รับการคัดเลือกให้เข้าพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมของภาคเอกชนแห่งหนึ่ง คิดเป็นมูลค่าราว 2 พันล้านบาท หลังเป็นผู้เสนอราคาได้โดดเด่นเมื่อเทียบกับรายอื่นๆ คาดน่าจะสามารถเซ็นสัญญาได้เร็วๆ นี้
ทั้งนี้ ภายหลังจากการรับงาน ดังกล่าว ทำให้บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 9 พันล้านบาท จากเดิมที่ราว 7 พันล้านบาท ซึ่งน่าจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องถึงปี 2566
ด้านนายวิโรจน์ เจริญตรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทาง PREB มีแผนเข้าประมูลโครงการใหม่ๆ ของภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นมูลค่าราว 3-5 พันล้านบาท โดยหวังให้ธุรกิจได้รับการคัดเลือกจากผู้ประกอบการราว 20-30% เพื่อเสริมรายรับให้มากขึ้นและสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว
ชู Q4 ฟอร์มสวย
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2563 บริษัทคาดมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงไตรมาส 3/2563 เพราะธุรกิจมีงานในมือที่รอส่งมอบเพิ่มขึ้นสูงขึ้น รวมทั้งมีโอกาสได้โครงการใหม่เข้ามาเพิ่มเติม
นอกจากนี้ยังจะมีปัจจัยหนุนในส่วนของของบริษัท อีสแอมอาร์ จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจทางด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (เป็นบริษัทย่อยที่ทาง PREB ถือหุ้นในสัดส่วน 100%) นั้นได้มีการเปิดตัวโครงการ บ้านเดี่ยวบริเวณพุทธมณฑลสาย 3 มูลค่าโครงการราว 1.08 พันล้านบาท คาดจะเริ่มรับรู้รายได้บางจากธุรกิจของริษัทย่อยในส่วนดังกล่าวตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/2563 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันทางบริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) ยังจะมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมทุนต่างๆ กับพาร์ตเนอร์ในช่วงที่ผ่านมาเข้ามาเสริมการเติบโตของธุรกิจอีกทางหนึ่ง
มองรับเหมายังมีเสน่ห์
อย่างไรก็ดี ทางบริษัทเชื่อมั่นว่าหุ้นรับเหมาก่อสร้างยังคงมีเสน่ห์ โดยเฉพาะ PREB ยังถือเป็นหุ้นก่อสร้างที่มีการขยายงานอย่างต่อเนื่อง จากพันธมิตรที่คอยสนับสนุนกันมาอย่างยาวนาน และถึงแม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา PREB มีสัดส่วนการรับ งานระหว่างอาคารสูงกับอาคารทั่วไปในอัตรา 80% และโครงการอื่นๆ 20%
ทั้งนี้โดยทั่วไปอาคารสูงเป็นคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีผลงานการขายที่ดี ส่งผลให้แม้บริษัทจะรับงานตึกสูงถึง 80% ของงานทั้งหมด แต่ก็ไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของการเก็บเงิน หรือการหยุดชะงักของโครงการระหว่างทาง ซึ่งเชื่อว่าจากการที่มีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และความต้องการที่อยู่อาศัยในลักษณะคอนโดมิเนียม จะยังมีความต้องการต่อเนื่อง และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รายใหญ่ ก็ยังคงเดินหน้าหาทำเลที่ดี เพื่อเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ต่อเนื่อง
ที่มา: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น