ESTAR มั่นใจยอดขาย3,000ล. ลุย4โครงการ4,700ล.รับตลาดฟื้น

30 มี.ค. 2566 201 0

         “อีสเทอร์น สตาร์ฯ” มองกำลังซื้อเรียลดีมานด์กำลังฟื้นตัว ทุกภาคเศรษฐกิจกลับมาขับเคลื่อนได้เต็มรูปแบบ พร้อมปรับกลยุทธ์รุกเจาะกลุ่ม Gen Y ชู 3 แกนคือ Design, Green และ Living 

          ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) “ESTAR” กล่าวถึงภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2566 ว่า คาดการณ์กำลังซื้อกลุ่มที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริงกำลังฟืนตัว ผู้ซื้อเริ่มมีความมั่นใจในสภาพเศรษฐกิจมากขึ้น จะเห็นได้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในทุกภาคส่วนกำลังกลับมาขับเคลื่อนได้เต็ม รูปแบบ ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้ มีทิศทางบวก

          ทั้งนี้ สภาพการแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะแข่งขันในอัตราเร่ง ที่อยู่อาศัยที่ยังเป็นซัปพลายเดิมจะถูกเร่งขายเร่งโอน ขณะที่ ซัปพลายใหม่เริ่มมีเข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง ตลาดใหญ่ยังคงเป็นตลาดระดับกลาง ที่มีกำลังซื้อและมีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง โดยในปีที่ผ่านมาพบว่าตลาดที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมคือ อาคารชุดที่ราคา 3-5 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคา 5-10 ล้านบาท

          “แม้จะมีปัจจัยสนับสนุนภาคอสังหาฯ แต่ที่หายไป คือ การกลับมาใช้อัตราส่วนสินเชื่อต่อราคาบ้าน หรือ Loan-to-value ratio หรือ LTV ขณะที่กำลังซื้อในระบบ ก็ยังมีอยู่ แต่เงินในกระเป๋าของผู้ซื้อไม่พอ สิ่งที่เราทำ (อีสเทอร์น สตาร์ฯ) กลับมาดูราคา ปรับมาร์จิ้นลงบ้าง กำไรลง เพื่อให้สามารถขายของได้ จะดีกว่าทำโครงการแล้ว เหนื่อย ซึ่งราคาที่เราทำปีนี้ จะเน้นกลุ่มราคากลางๆ แต่ก็มีบางโปรดักต์ที่ลงล่างบ้าง แต่ไม่มาก ทั้งนี้ การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.50 เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปี จะบอกว่าไม่มีผลกระทบ ก็ไม่ใช่ ตลาดราคาล้านกว่าๆ ก็ต้องมาติดตามดูกัน“ดร.ต่อศักดิ์ กล่าว

          สำหรับทิศทางและกลยุทธ์ของบริษัท อีสเทอร์น สตาร์ฯ ในปีนี้ จะใช้ความโดดเด่นในการพัฒนาดีไซน์และคุณภาพสินค้ามาเป็นจุดแข็ง เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน มุ่งเจาะกลุ่มตลาดระดับกลาง Gen Y ภายใต้แนวคิด Creator of Life’s Pleasure ด้วยเอกลักษณ์ใน 3 แกนหลักคือ Design, Green และ Living สร้างสรรค์การอยู่อาศัยแบบ Smart life อย่างสมบูรณ์รอบด้าน

          ในปีนี้ อีสเทอร์น สตาร์ฯ จะกลับมาลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายอย่างชัดเจน โดยจะมีสินค้าบุกตลาดในรูปแบบบ้านเดี่ยวบนทำเลโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และโครงการอาคารชุดในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยจะมีการเปิดตัวซีรีส์ใหม่ “มาย” (MHy) 3 ทำเล ภายใต้แบรนด์ควินทารา ในกลุ่มตลาด Affordable บนทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพฯ รวม 3 โครงการมูลค่า 4,150 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ Quintara MHy’DEN โพธิ์นิมิตร คอนโดฯ ไฮไรส์ 40 ชั้น 628 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท เป็นอาคารสูงตัวแรกของทางแบรนด์ควินทารา ที่ดีไซน์ให้มีความหลากหลายของขนาดยูนิต ฟังก์ชันใช้สอยครบตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คน Gen Y เปิดราคาเริ่มที่ 2.69 ล้านบาท ราคาต่อตารางเมตร(ตร.ม.) กว่า 1 แสนบาท โครงการ Quintara MHy’GEN รัชดา-ห้วยขวาง คอนโดฯ โลวไรส์ 2 อาคาร 383 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,050 ล้านบาท ตอบโจทย์คน Gen Y ที่ชอบสไตล์มินิมอล-น้อยแต่มาก การทำงานจากที่บ้านและการพักผ่อน ราคาเริ่ม 2.09 ล้านบาท ราคาขายต่อตร.ม.ประมาณ 80,000-90,000 บาทต่อตร.ม. และ Quintara MHy’ZEN พร้อมพงษ์ คอนโดฯ โลวไรส์ 2 อาคาร 276 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ราคาเริ่ม 2.29 ล้านบาท ราคาขายต่อ ตร.ม.กว่า 1 แสนบาท

          “การพัฒนาโครงการ เรื่องทำเลที่ตั้งโครงการยังเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจซื้อ จุดนี้ถือเป็นความได้เปรียบของเรา ที่มีแลนด์แบงก์ในทำเลติดและใกล้รถไฟฟ้า ขณะที่ กลุ่มเป้าหมายของโครงการ จะอยู่ในกลุ่ม Mid-High ซึ่งเป็นคน Gen Y มีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ชอบความเป็นส่วนตัวและต้องการใช้พื้นที่ของตัวเองอย่างคุ้มค่า ทำเลยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจซื้อ จุดนี้ถือเป็นความได้เปรียบของเราที่มีแลนด์แบงค์ในทำเลติดและใกล้รถไฟฟ้า”

          สำหรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว ซึ่งอีสเทอร์น สตาร์ ยังคงยึดหัวหาดทำเลพื้นที่ภาคตะวันออก จ.ระยอง โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้พัฒนาโครงการใหม่ คือ โครงการบรีซ ชาเลต์ (Breeze Chalet) มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท รูปแบบบ้านเดี่ยวสไตล์อังกฤษในทำเลบูรพาพัฒน์-สุขุมวิท ปัจจุบันมียอดขายไปแล้ว 10 หลัง มูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท เป็นหนึ่งในโครงการทำเลใหม่ บนเนื้อที่รวม 200 ไร่ โดยที่ก่อนหน้านี้ ได้พ้ฒนาโครงการแนวราบไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ BREEZE ใกล้จะปิดโครงการ และโครงการ TERRA PRIMA จำนวน 200 หลัง มียอดขายไปแล้ว 1 ใน 3 โดยทางโครงการยังมีที่ดินอีกประมาณ 100 ไร่ รองรับการพัฒนาโครงการต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี คาดพัฒนาจนครบทั้งโครงการจะมีมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 2,500 ล้านบาท

          ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 2566 ว่า ได้วางเป้าที่จะมียอดขายรวม 3,100 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 50% มีรายได้รวม 1,700 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่คาดว่าในปี 2567 รายได้รวมจะเพิ่มเป็น 2,000-3,000 ล้านบาท

ที่มา:

คลิกเครื่องหมาย เพื่อเพิ่มลงตะกร้าเก็บทรัพย์ที่สนใจ หรือกดอีกครั้งเพื่อลบออก
คลิกเพื่อเลือก บ้านที่ต้องการแล้วกดปุ่ม "เปรียบเทียบ" ได้เลย