ส.อสังหาฯทุกภาคห่วงยอดโอนวูบ ลากเกิน 3 เดือนรายเล็กอ่วม แนะปลด LTV-หวังแบงก์ผ่อนเงินกู้
อสังหาริมทรัพย์
ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เซกเตอร์ทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อการขับเคลื่อน จีดีพี ของประเทศไทย เพราะ เกี่ยวโยงกับภาคธุรกิจอื่นๆ เป็นจานวนมาก อีกทั้ง มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ จะผลิตจีดีพีของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งจะพบว่ามูลค่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ร้อนแรงอย่างมากในช่วงปี 2559-2561 มูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะการเติบโตของโครงการคอนโดมิเนียม ที่โหมเปิดตัวเพื่อรองรับ กับกาลังซื้อ เพื่ออยู่อาศัย กลุ่มนักลงทุน และเก็งกาไร ประกอบกับการท่องเที่ยวของประเทศไทยเติบโตอย่างมาก นักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาในไทยเป็นจานวนมาก และนิยมที่จะลงทุนซื้อโครงการคอนโดฯ เนื่องจากเงินบาทของไทยยังอ่อนค่า และอัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่า (ยิลด์) เฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ในปี 2562 สถานการณ์พลิก เมื่อเศรษฐกิจจีนเริ่มมีปัญหาคุมการไหลออกเงินหยวน และในไทยเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง รวมถึงมาตรการกำกับควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย “Loan to Value หรือ LTV” ที่ออกมาเพื่อสกัดการเก็งกำไร และตัดวงจร “เงินทอน” ลง ส่งผลให้ภาพรวมตลาดอสังหาฯชะลอตัวลง แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นตลาดผ่านโครงการ “บ้านดีมีดาวน์” ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือรายการ 0.01% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลงล่าสุด 0.4% เป็นผลตามทิศทางของดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่ธนาคารลดดอกเบี้ยเงินกู้ จะช่วยหนุนให้ลูกค้าผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนเพิ่มมากขึ้นได้ประมาณ 3% ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อบ้านขนาดใหญ่มากขึ้น อีกทั้งทำให้ลูกค้าที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงกู้ไม่ผ่านสามารถกู้ผ่านได้
“การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง ถือว่าดีเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด แต่ถ้าอยากให้อสังหาฯเดินหน้าต่อ แบงก์ปล่อยสินเชื่อง่ายขึ้น น่าจะเป็นคีย์หลักมากกว่า ซึ่งปัจจุบันลูกค้าบางกลุ่มที่เราคิดว่าน่าจะกู้ผ่านได้กลับไม่ผ่าน และจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อาจไม่ได้ช่วยให้ลูกค้าเข้ามาซื้อบ้านเพิ่มมากขึ้นจากประเด็นดอกเบี้ยถูกลง เนื่องจากภาพรวมการปล่อยสินเชื่อจากธนาคารยากขึ้น โดยปัจจุบัน บริษัทมียอดการปฏิเสธสินเชื่อเบื้องต้น 15% จากปีก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ระดับประมาณ 10-11%”
ส.อสังหาฯวอนยกเลิก‘LTV’,เลื่อนเก็บภาษีที่ดินฯ
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวถึงการบรรเทาภาคอสังหาฯในท่ามกลางที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า มีหลายประเด็นที่ภาครัฐควรจะหันกลับมามอง ได้แก่ ประการแรก ควรยกเลิกมาตรการ LTV ซึ่งจะช่วยกระตุ้นทั้งกำลังซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่จะเข้ามาซื้อเพื่อการลงทุน จะช่วยดูดซัปพลายภายในระบบได้ ประการที่สอง เรื่องการจัดเก็บภาษีที่ดินและ สิ่งปลูกสร้าง กระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างแน่นอน เป็นเรื่องปวดหัว และเมื่อเข้าสู่เดือนมิถุนายน 2563 จะมีการเก็บภาษีตามที่กฎหมายระบุไว้ รัฐบาลก็ต้องไปรับ กับเรา (อสังหาฯ) เรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอีกรอบ
ประการที่สาม การสร้างกำลังซื้อและความเชื่อมั่น ซึ่งเราก็กังวล หากธนาคารสวมหมวกกันน็อก มองทุกธุรกิจเสี่ยงหมดก็น่าเป็นห่วง ดังนั้น ที่ผ่านมาในระบบ เคยมีกลไกในการฟื้นความเชื่อมั่น ผ่านบรรษัทตลาดรอง สินเชื่อที่อยู่อาศัย (SMC) การเข้าไปรับซื้อหนี้สินเชื่อจากธนาคาร เช่น อาชีพกัปตันนักบิน เป็นกลุ่มที่มีรายได้ดี แต่วิกฤตครั้งนี้ ทำให้ธนาคารอาจจะไม่ปล่อยสินเชื่อให้ ซึ่งหากมี SMC เกิดขึ้นอีกครั้งก็จะทำให้ลดความเสี่ยงในการตั้งสำรองในเกณฑ์ที่สูง แต่ทั้งนี้ ประเด็นเรื่อง SMC เป็นภาพใหญ่ของนโยบายที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ยกเลิก SMC ไปแล้ว
“ตอนนี้ยังประเมินไม่ได้ว่า วิกฤตการณ์จากไวรัสโควิด-19 จะจบเมื่อไหร่ แต่หากเกิดความชัดเจนในเรื่องของวัคซีนป้องกันแล้ว ก็จะเป็นการฟื้นความเชื่อมั่นได้ ซึ่งผลจากโควิด-19 ธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมได้รับผลกระทบก่อน ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แม้จะได้รับผลกระทบ แต่ไม่หนักเท่า 2 ภาคธุรกิจข้างต้น จะว่าไปแล้ว อสังหาฯก็เหมือนมะเร็ง ช่วง 3 เดือนข้างหน้า เรายัง ทนได้ แต่ถ้าปล่อยไปถึงไตรมาส 4 คิดว่าลำบาก คล้ายๆ วิกฤตปี 2540 ที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ถูกกระทบและ ล้มกระจาย ยิ่งตอนนี้ผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใด มีหนี้เยอะก็จะลำบาก บริษัทใดออกหุ้นกู้ ตั๋วสัญญา ใช้เงิน และครบดิวจะต้องหาวิธีบริหารสภาพคล่องให้ดี เพราะประเมินว่าปลายปีจะมีตัวเลขครบไถ่ถอนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ทางออกของผู้ที่ออกหุ้นกู้ หรือตั๋วบีอี ก็ต้องไปยืดหนี้ตัวนี้ออกไป แม้ว่าแบงก์ชาติจะมีการ เข้ามาช่วยเหลือตราสารหนี้ในระบบ แต่จะเน้นตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อที่ดี”
อย่างไรก็ตาม ในภาวะแบบนี้จะเห็นผู้ประกอบการแข่งขันการลดราคาขายโครงการที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบการรายใหญ่มีการจูงใจผู้ซื้อ ลดกระหน่ำถึง 50% ทำให้มีลูกค้าเข้าไปซื้อเยอะ ส่วนผู้ประกอบการรายกลาง และเล็ก การจะใช้เรื่องราคามาทำตลาดเหมือนรายใหญ่แล้วนั้น จะยิ่งทำให้ธนาคาร (เจ้าหนี้) เกิดคำถามว่า เกิดอะไรขึ้น และถ้าเร่งการขายกันมากแล้วเกิด 3-4 เดือนข้างหน้ามีปัญหาขึ้นมา เช่น ลูกค้าไม่โอนห้องชุดหรือบ้าน เจ้าหนี้ยืดงวดก่อสร้าง แต่ผู้รับเหมาเร่งสร้างไม่ยอมหยุด แต่เจ้าของโครงการไม่มีตังค์จ่าย และอาจจะไปถึงจุด ที่ผู้รับเหมาสร้างไปเรื่อยๆ เจ้าของไม่มีเงิน ก็รับห้องแทนชำระค่าก่อสร้าง และหากผู้รับเหมาไม่มีสภาพคล่อง ที่จะไปซื้อวัสดุก่อสร้างแล้ว จะกลายเป็นปัญหาตามมา ก็จะสร้างต่อไม่ได้
“คิดว่าบริษัทขนาดเล็กลำบาก ถ้าลากไปอีก 3 เดือน เพราะอย่าลืมจะมีเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณเกี่ยวกับการช่วยเหลือภาค อสังหาฯ แต่คิดว่าสุดท้ายรัฐบาลคงจะช่วย เพียงแต่เงื่อนไขยังไม่รู้จะยากแค่ไหน ตอนนี้ผู้ประกอบการก็กินยาพาราเพื่อแก้ปวด แต่ตอนนี้พาราไม่พอแล้ว ต้องยกเลิก LTV”
อสังหาฯนนทบุรี ยอดโอนสะดุด แบงก์สกรีนหนักเสนอตั้งกองทุนดอกเบี้ยพิเศษ จูงใจซื้อบ้าน
นายปรีชา กุลไพศาลธรรม นายกสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์นนทบุรี กล่าวสนับสนุนให้รัฐยกเลิก LTV เนื่องจากเป็นมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ และภาครัฐและ ธปท.น่าจะออกสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อให้ลูกค้าตัดสินซื้อและโอนที่อยู่อาศัยได้ เช่น 0% นาน 3 ปี การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษในเรื่องตกแต่ง และน่าจะขยายมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนอง เหลือรายการ 0.01% ครอบคลุมทุกระดับราคา
“ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในนนทบุรี ส่วนใหญ่ จะเป็นโครงการบ้านจัดสรร ซึ่งยอดขายและการเข้าชมโครงการยังทำได้อยู่บ้าง แต่ปัญหาที่พบคือ โอนไม่ได้ เนื่องจากแบงก์ชะลอการให้สินเชื่อ และหากเป็นลูกค้าที่ทำธุรกิจส่วนตัว และหากเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิดโดยตรง เช่น กลุ่มท่องเที่ยว พนักงานที่เกี่ยวกับการบิน แอร์โฮสเตส แบงก์ไม่ปล่อยกู้ หรือธุรกิจทางอ้อม แบงก์จะกังวลในการปล่อยสินเชื่อ กลุ่มนี้จะกู้ได้ค่อนข้างยาก หรือได้วงเงินกู้ที่น้อยลง บางรายได้ยอดสินเชื่อ แค่ 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็ไม่พอ ทำให้ไม่สามารถทำการโอนได้ และสถานการณ์โควิด ไม่จบในระยะเว ลาอันสั้น ก็จะยิ่งมีผลต่อตัวเลขการโอน ผู้ประกอบการจะมีปัญหา เรื่องสภาพคล่องตามมา ซึ่งจากวิกฤตครั้งนี้ ทำให้รู้ว่า อสังหาฯไม่ได้แข็งแรง เพราะค่าใช้จ่ายสูงคงที่ ทั้งส่วน ขององค์กร และภาระหนี้ และหากเกิน 3 เดือน เราต้องคุมค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆเพิ่มเติม”
สำหรับในส่วนของบริษัท เปี่ยมสุข ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ธุรกิจของครอบครัวนั้น นายปรีชากล่าวว่า โปรดักต์เป็นแนวราบ เรียลดีมานด์ ราคา 2-10 ล้านบาท ซึ่งในทุกกลุ่มราคาที่ทำอยู่ยังพอไปได้ แต่ถ้าเป็นบ้านระดับบน ลูกค้ายังชะลอการตัดสินใจ เพราะต้องการเงื่อนไขพิเศษเพิ่มขึ้นจากทางโครงการ ส่วนของโครงการคอนโดมิเนียม ในซอยศูนย์วิจัย เน้นกลุ่มลูกค้าที่ทำอาชีพในโรงพยาบาล ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนักแต่ก็เห็นผู้ประกอบการ คอนโดฯทำราคาโปรโมชันค่อนข้างสูง
“เมื่อผู้ประกอบการในจังหวัดนนทบุรียอดโอน ไม่ได้ ก็จะมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง ก็จะมีการเลื่อนเปิดโครงการใหม่ หรือชะลอการก่อสร้างโครงการ เร่งระบายสต๊อกให้มากที่สุด เจรจากับสถาบันการเงินในการยืดหนี้ เราไม่รู้อนาคตจะมีวิกฤตแค่ไหน สิ่งที่เราต้องทำ คือ การเติมสภาพคล่องให้ดี”
พนักงานบ.น้ำมันในระยอง ทิ้งเงินจอง หวั่นตกงาน
นายเปรมสรณ์ ศรีวิบูลย์ชัย นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ระยอง กล่าวยอมรับว่า ตอนนี้แบงก์เข้มกว่าช่วง LTV หรือช่วงใช้เกณฑ์ DSR ที่ทำงานอยู่ในกลุ่มโรงแรม บางแบงก์ไม่ปล่อยกู้เลย จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเรื่องให้แบงก์ลดความเข้ม ซึ่งตัวเลขรีเจกต์เรตในปีนี้น่าจะสูง บางโครงการที่ได้สอบถามข้อมูลมา รีเจกต์เรตถึง 70%
“เรื่องความมั่นใจในด้านรายได้ ก็มีส่วนสำคัญมากในตอนนี้ เพราะมีลูกค้าที่ทำงานในบริษัทน้ำมันในระยอง ได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้วก็ไม่เอาบ้านแล้ว ยอมทิ้งเงินจองเลย ซึ่งจากการตรวจสอบ จะเห็นว่า ยอดโอนของผู้ประกอบการที่สะดุด มีทั้งมาจากกู้ไม่ได้ กู้ได้แต่ไม่เอา กู้ได้แต่วงเงินไม่ถึงราคาบ้าน ต้องหาเงินมาเพิ่ม ก็ทิ้งบ้านก็มี แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการทำได้ จัดโปรโมชัน เช่น ลดราคาให้ 10-20 เปอร์เซ็นต์ แคมเปญผ่อนให้ลูกค้า 1-2 ปี ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่จะมีวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดแล้ว โดยลูกค้าที่ซื้อบ้านราคา 1-3.5 ล้านบาท จะกระทบเกี่ยวกับการเข้าถึงสินเชื่อ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีเงินฝาก ไม่มาก แต่ถ้าบ้านเกิน 4-5 ล้านบาท ก็กระทบเรื่องกู้แบงก์ แต่กลุ่มนี้จะมีเงินออมอยู่”
พิษโควิด ฉุดอสังหาฯชลบุรีทรุด ราคา 1.5-2 ล้านบาทกระทบหนัก
นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ชลบุรี เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ทำเลชลบุรีในปี 2563 ว่า ยังคงมีแนวโน้มชะลอตัว จากภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมถึงกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ที่มีผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักผ่อน มากกว่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลดน้อยลง แต่มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดยังคงเข้มงวด ทำให้ภาพรวมธุรกิจในชลบุรีจึงยังทรงตัว
“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังมีการแพร่ระบาดต่อเนื่องทั่วโลก ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทย รวมถึงกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดน้อยลง ถึงแม้ล่าสุดภาวะจำนวนการติดเชื้อจะลดลง แต่มาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดยังคงเข้มงวดอยู่มาก กระทบต่อภาคธุรกิจ ทำให้มีรายได้ลดลง และอาจทำให้เกิดลดการจ้างงาน ยอดขายของโครงการอสังหาฯหายไปอย่างน้อย 30-40 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มที่อยู่อาศัยในจังหวัดชลบุรี ระดับราคา 1.5-2 ล้านบาท จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากเกี่ยวโยงกับกลุ่มที่ทำงานในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ขณะนี้มีการปิดตัวลง โครงการทาวน์เฮาส์บางแห่ง ลดราคาถึง 10-20 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ซัปพลายที่อยู่อาศัยในชลบุรี รวมที่มีอยู่และระหว่างก่อสร้างไม่ต่ำกว่า 1 แสนหน่วย คาดต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการระบายสต๊อกคงค้าง”
สำหรับกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติ ในปี 2562 ที่ผ่านมา มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด เปรียบเทียบทำเลกรุงเทพมหานครกับชลบุรี โดยพบว่า ทำเลชลบุรีมีจำนวนการ โอนกรรมสิทธิ์ 4,740 ยูนิต ลดลง 21% เมื่อเทียบกับปี 2561 ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ 4,843 ยูนิต ส่วนทำเล กทม. มีการโอนกรรมสิทธิ์ 5,481 ยูนิต ลดลง 22.6% เทียบกับปี 2561 ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ 7,085 ยูนิต ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2562 ในทำเลชลบุรี มีมูลค่ารวมกว่า 12,202 ล้านบาท ลดลง 0.9% ทำเล กทม. 31,628 ล้านบาท ลดลง 19.4%
ในส่วนของพื้นที่ส่งเสริมพิเศษ (อีอีซี) ปัจจุบัน ภาครัฐได้มีการดำเนินการลงทุนไปค่อนข้างมากแล้ว โดยเฉพาะในชลบุรี ได้มีการส่งเสริมให้เป็นพื้นที่ส่งเสริมด้านการบิน หรือศูนย์กลางการบินภาคตะวันออก และสนามบินแห่งที่ 3 ของประเทศ โดยได้พัฒนาสนามบิน อู่ตะเภา เพื่อสร้างให้เป็น “มหานครใหม่” ที่ใกล้ กทม. เชื่อมด้วยรถไฟความเร็วสูง ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 2.9 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนให้เป็นพื้นที่ ส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลใหม่ บนพื้นที่กว่า 500 ไร่ คาดสามารถสร้างบุคลากรด้านดิจิทัลได้ถึง 1 แสนคน ต่อปี และสร้างเม็ดเงินได้กว่า 50,000 ล้านบาทต่อปีอีกด้วย
“อีอีซี เป็นสิ่งที่คนชลบุรีคาดหวัง ที่จะกลับมา ให้ชลบุรีโตได้อีกระลอก เหมือนในสมัยที่มีโครงการ อีสเทิร์นซีบอร์ด แต่เราต้องยอมรับว่า การเกิดขึ้นของประเทศอุตสาหกรรม เช่น ประเทศเวียดนาม จีน กลายเป็นคู่แข่งทางการค้ากับไทย อย่างไรก็ตาม โครงการ เมกะโปรเจกต์ต่างๆ อย่างเช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง จะส่งผลดีต่อชลบุรี และพัทยา ซึ่งคนจีนก็มองว่าเป็นทำเลที่น่าสนใจไม่น้อยกว่ากรุงเทพฯ และหากสามารถขยายเพดานให้ต่างชาติมากว่า 49 เปอร์เซ็นต์น่าจะเป็นการ สร้างกำลังซื้อให้เกิดขึ้น โดยอาจจะนำร่องในพื้นที่อีอีซี ก่อนจะขยายโมเดลดังกล่าวไปยังภูมิภาคอื่นๆ และจะเริ่มเห็นพฤติกรรมคนจีน ฝันอยากมีบ้านบนที่ดิน ซึ่ง การทำโครงการบ้านจัดสรรเช่า 30 ปี หากทำในเชิงธุรกิจ อาจไม่ถึงจุดคุ้มทุน ต้องมีการประเมินใหม่ เพราะภาวะที่เราต้องเผชิญเป็นอะไรที่น่ากังวล และวิกฤตโควิด-19 ตอกย้ำให้อสังหาฯต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง”
เช่นเดียวกับ นายปราชญ์ วงศ์วรรณ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ เชียงใหม่ กล่าวว่า อสังหาฯในจังหวัดเชียงใหม่ จะมีประเด็นเรื่องฝุ่นเป็นเรื่องใหญ่มากกว่า ขณะที่มีบริษัทอสังหาฯจากจีน เข้ามาลงทุนซื้ออสังหาฯในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งพฤติกรรมลูกค้าจีน อยากอยู่บ้าน แต่ด้วยเรื่องกฎหมาย ทำให้ต้องซื้อผ่านบริษัทตัวแทนนายหน้าค้าอสังหาฯและเช่าระยะยาว ซึ่งตนคิดว่าภาครัฐจะปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริง เช่น อาจจะเพิ่มระยะการเช่ายาวขึ้นจาก 30 ปี เป็น 50 ปี เพื่อให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย
อสังหาฯภูเก็ตใช้เวลาพลิกฟื้นปีครึ่ง นักท่องเที่ยวใช้เวลาเป็นปี กว่าจะกลับมา
นายพัทธนันท์ พิสุทธิ์วิมล นายกสมาคมอสังหา- ริมทรัพย์ภูเก็ต ให้ความเห็นว่า ภาคการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต คาดว่าต้องใช้เวลา ซึ่งหากภายในไตรมาส 3 ถ้านักท่องเที่ยวมาภูเก็ตได้ ภายใต้เงื่อนไขปลอดเชื้อ จะทำให้ตัวเลขอัตราการเข้าพักในโรงแรมเพิ่มได้ 10% และคาดไตรมาส 4 เพิ่มได้อีก 20% ซึ่งตัวเลขดังกล่าว ยังไม่สะท้อนให้ผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ คนซื้ออสังหาฯในภูเก็ตมาจากท้องถิ่น ซึ่งส่วนนี้กำลังซื้อหายไปถึง 80% ทำให้ต้องพึ่งต่างประเทศ
“ประเมินจากนี้ไป 1 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยว ไม่กลับมาที่ภูเก็ตเท่าเดิม ทำให้ต้องมามองนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากขึ้น อสังหาฯต้องใช้เวลาประมาณปีครึ่ง และคงต้องดูเรื่องตลาดคอนโดเทล ที่เติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา มีการปล่อยเช่าระยะยาว เสนอผลตอบแทนให้กับเจ้าของห้องชุด บางโครงการให้ยิลด์ 7-15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ทำให้ต้องมองว่า หากการท่องเที่ยวยังชะลอตัว โครงการที่การันตี ไม่สามารถชำระได้ จะเกิดกระแสกระทบความเชื่อมั่นต่อการซื้ออสังหาฯ และการลงทุน ในอนาคตได้” .
‘ผู้ประกอบการอสังหาฯรายใดมีหนี้เยอะ ก็จะลาบาก บริษัทใดออกหุ้นกู้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน และจะครบดิว ต้องหาวิธีบริหารสภาพคล่องให้ดี’
‘กลุ่มท่องเที่ยว พนักงาน ที่เกี่ยวกับการบิน แอร์โฮสเตส แบงก์ไม่ปล่อยกู้ ]’
‘กลุ่มที่อยู่อาศัยในจังหวัดชลบุรีระดับราคา 1.5-2 ล้านบาท จะได้รับผลกระทบมากที่สุด’
‘จากนี้ไป 1 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวไม่กลับมาที่ภูเก็ตเท่าเดิม ทาให้ต้องมามองนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากขึ้น อสังหาฯต้องใช้เวลาประมาณปีครึ่ง’
ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา