TEKA คาดQ2โตส่งมอบงานเพิ่ม ย้ำรายได้ปีนี้พุ่ง 2.2 พันล้าน ตุนแบ็กล็อก 3,106 ล้าน
นายสุพล จงจินตรักษา ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง จำกัด (มหาชน) หรือ TEKA เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2566 จะดีขึ้นจากไตรมาส 1/2566 และจะดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3/2566 และไตรมาส 4/2566 จากการทยอยส่งมอบและรับรู้รายได้จากงานโครงการที่มีอยู่ระหว่างก่อสร้างในมือ
โดยล่าสุดบริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 3,106.68 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปีนี้จนถึงปี 2568 และบริษัทจะมีการเข้าประมูลงานใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการประเภทที่พักอาศัย โรงเรียนนานาชาติ โกดังเก็บของ เป็นต้น ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยประกาศผลอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ในปี 2566 บริษัทได้เซ็นสัญญารับงานใหม่ไปแล้วมูลค่ารวม 1,282 ล้านบาท ซึ่งในเดือน มกราคมที่ผ่านมาได้เซ็นสัญญารับงานก่อสร้างโครงการ นิว คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง มูลค่า 954 ล้านบาท จากบริษัท คอนติเนนตัล ซิตี้ จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลในเครือบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ระยะเวลาก่อสร้าง 16 เดือน โดยเริ่มต้นก่อสร้างในเดือน กุมภาพันธ์ 2566 ขณะที่ในเดือน เมษายนที่ผ่านมาได้เซ็นสัญญาโครงการ ARLO LASALLE 17 มูลค่า 328 ล้านบาท จากบริษัท เรียลลาซาล 17 จำกัด กำหนดระยะเวลาก่อสร้าง 9 เดือน เริ่มต้นก่อสร้างในเดือนพฤษภาคม 2566
สำหรับในปี 2566 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากงานรับเหมาก่อสร้างไว้ไม่น้อยกว่า 2,200 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตที่ประมาณ 13% จากปีก่อนที่มีรายได้จากการก่อสร้างรวม 1,933.03 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีนโยบายรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ระดับ 10-15% และรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ที่ระดับ 5-10% ด้วยการขยายการรับงานในหลากหลายกลุ่มประเภทโครงการ รวมถึงการควบคุมราคาต้นทุนวัสดุหลักให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ ยังเพิ่มช่องทางการรับงานประเภทใหม่ รวมทั้งบริษัทยังได้ขยายทีมงาน เพื่อรับงานได้มากขึ้นด้วย
นายสุพล กล่าวอีกว่า บริษัทยังรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการโอกาสที่จะเข้ามาในอนาคต ซึ่งปัจจุบัน TEKA ยังมองหาธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัท หรือเป็นธุรกิจที่สามารถสนับสนุนธุรกิจหลักของบริษัท เพื่อต่อยอดหรือขยายโอกาส และป้องกันความเสี่ยงหากภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวในอนาคต เช่น การลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ หรือธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
ส่วนกรณีการปรับค่าแรงนั้น โดยรวมประเมินว่าจะกระทบกับต้นทุนของบริษัทเพียงส่วนน้อยแค่ 1.5-2% และจะกระทบในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งโครงสร้างของต้นทุนของบริษัท มีสัดส่วนจากค่าแรง 25% แบ่งเป็น 80% เป็นค่าแรงที่เหมาจ่าย (คงที่ไม่กระทบการขึ้นค่าแรง) และ 20% เป็นค่าแรงที่จะถูกกระทบจากการขึ้นค่าแรง อย่างไรก็ตาม ต้นทุนค่าแรงจะกระทบกับโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเท่านั้น สำหรับโครงการใหม่ ๆ บริษัทจะมีการทำสัญญาตามค่าแรงใหม่
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น