PFรายได้-ยอดขายตามนัด ลุย6โครงการใหม่ครึ่งหลัง
PF มั่นใจผลงานปี 2565 ตามนัดมียอดขาย 1.85 หมื่นล้านบาท ส่วนรายได้คาดไม่ต่ำกว่า 1.38 หมื่นล้านบาท จากรับรู้แบ็กล็อก โครงการ JV บวกกับธุรกิจโรงแรมฟื้นตัว แถมมีแผนขายทรัพย์สินอีกกว่า 8.6 พันล้านบาท หนุน ย้ำความต้องการ บ้านเดี่ยวระดับบนโตแกร่ง เล็งเปิดอีก 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 5.3 พันล้านบาท
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาขณะนี้แม้จะมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่ยังคงมีปัจจัยลบที่มีผลมาจากเงินเฟ้อส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน โดยเฉพาะกำลังซื้อกลุ่มระดับกลาง-ล่าง หรือกลุ่มโครงการมูลค่าตั้งแต่ 6 ล้านบาท ลงมามียอดการถูกปฏิเสธสินเชื่อสูง ตรงข้ามกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับบนที่มีราคา 10-20 ล้านบาทขึ้นไป ยังมีความต้องการสูงมากเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาไปจนถึงกลางปี 2566
ดังนั้นบริษัทจึงมั่นใจว่าผลการดำเนินงานทั้งปี 2565 จะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยตั้งเป้ามียอดขายที่ 1.85 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ประมาณ 1.05 หมื่นล้านบาท, คอนโดมิเนียม 3 พันล้านบาท, และโครงการของ JV ประมาณ 5 พันล้านบาท
ทั้งนี้ตั้งเป้าการรับรู้รายได้ที่ 1.38 หมื่นล้านบาท หนุนจาก 1. ยอดขายรอโอน (Backlog) ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2565 ที่กว่า 1.21 หมื่นล้านบาท 2.รายได้จากธุรกิจโรงแรมที่ฟื้นตัวตามความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว ทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ คาดว่าทั้งปีจะรับรู้รายได้ 1.6 พันล้านบาท และ 3.การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุน (JV) ประมาณ 4.8 พันล้านบาท
เดินหน้าเปิด 6 โครงการ
ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 5.3 พันล้านบาท แบ่งเป็นการเปิดโครงการในช่วงไตรมาส 3/2565 ทั้งสิ้น 2 โครงการ มูลค่า 585 ล้านบาท และในช่วงไตรมาส 4/2565 อีก 4 โครงการ มูลค่ากว่า 4.7 พันล้านบาท ซี่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ยอดขายทั้งปี 2565 เร่งตัวสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ผลงานครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทมียอดขาย 7.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 55% โดยเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ 4.7 พันล้านบาท โครงการร่วมทุน 2.1 พันล้านบาท และคอนโดมิเนียมในประเทศและต่างประเทศอีก 1.1 พันล้านบาท
ขายที่ดินหนุน
พร้อมกันนี้บริษัทยังมีแผนที่จะขายที่ดิน และกรรมสิทธิ์การเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งสิ้น 2 แปลงประกอบด้วย 1.ที่ดินบนถนนรามอินทรา มูลค่าประมาณ 1.8 พันล้านบาท 2.ที่ดินบนถนนรัชดา มูลค่าประมาณ 1.8 พันล้านบาท อีกทั้งยังมีแผนขายโรงแรม 1 แห่ง มูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2565 บริษัทจะรับรู้กระแสเงินสดเข้ามาเสริมสภาพคล่องทั้งสิ้นราว 8.6 พันล้านบาท
สำหรับธุรกิจถุงมือยางนั้น หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง ราคาจำหน่ายต่อกล่องก็กลับสู่ระดับราคาพื้นฐาน โดยคาดว่าราคาจำหน่ายเฉลี่ยทั้งปี 2565 จะอยู่ที่ 3.1 ดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าทั้งปี 2565 จะสามารถผลิตถุงมือยางได้ทั้งสิ้น 84 ล้านกล่อง มีรายได้ประมาณ 760 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทสามารถเพิ่มไลน์ผลิตได้ครบทั้ง 8 ไลน์แล้ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้กำลังการผลิตทั้งปี 2566 อยู่ที่ 16.3 ล้านกล่อง เบื้องต้นคาดการณ์ราคาจำหน่ายเฉลี่ยทั้งปี 2566 ที่ 3.5 ดอลลาร์สหรัฐสร้างรายได้รวมประมาณ 1.9 พันล้านบาท
ที่มา: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น