NOBLEต่างชาติพร้อมซื้อมีสต๊อกรอขาย1.5หมื่นล.
NOBLE มั่นใจต่างชาติพร้อมเดินทางเข้าซื้ออสังหาไทยทันทีที่รัฐบาลเปิดประเทศ หนุนความต้องการพุ่ง เผยมีสต๊อกพร้อมขาย 1.5 หมื่นล้านบาท ย้ำโมเดลเติบโตร่วมกับพันธมิตรสร้างรายได้ติด 1 ใน 5 อสังหาไทย มั่นใจบริหารจัดการต้นทุนการเงินในระดับต่ำ ส่งต่อโครงการดี ราคาเหมาะสมตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกที่เริ่มผ่อนคลายจากพัฒนาการวัคซีน และการเริ่มฉีดให้กับประชาชนโดยเฉพาะในประเทศในทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยในไทย อาทิ จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน ที่เริ่มฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ให้ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะเริ่มให้ประชาชนเดินทางระหว่างประเทศได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ก็พร้อมที่จะเดินทางเข้ามาทันทีที่รัฐบาลพร้อมรับชาวต่างชาติทั้งนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนยอดขายให้กับบริษัทได้ในช่วงไตรมาส 4/2564 ต่อเนื่องถึงปี 2565
“ในช่วงแรกความต้องการซื้อที่อั้นมาทั้งปี 2563 คงทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ก่อนจะปรับตัวกลับเข้าสู่ความต้องการในระดับปกติ ซึ่งบริษัทจะพิจารณาดำเนินโครงการบนทำเลศักยภาพ โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าซึ่งพันธมิตรมีที่ดินพร้อมพัฒนาอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้บริษัทมีต้นทุนต่อโครงการต่ำ สามารถดีไซน์โครงการที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ในราคาเหมาะสม” นายธงชัย กล่าว
มีสต๊อกพร้อมขาย 1.5 หมื่นล.
ในปี 2564 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 11 โครงการ ทั้งแนวราบ และคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมทั้งสิ้น 4.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการเอง 4-5 โครงการ, โครงการที่ดำเนินการร่วมกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ U จำนวน 4-5 โครงการ, และ 1 โครงการร่วมกับบริษัท ฮ่องกงแลนด์ จำกัด นอกจากนั้นยังมีแผนการพัฒนาที่ดินในโครงการธนาซิตี้ร่วมกับกลุ่มสหพัฒน์และ BTS ซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ
พร้อมกันนี้ตั้งเป้าหมายยอดขาย ทั้งปี 2564 ไว้ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2563 ที่คาดว่าจะทำได้ระหว่าง 6.5 พันล้านบาท-1 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้ารายได้รวมที่ 1.1 หมื่นล้านบาท ด้านงบลงทุนตั้งไว้ประมาณ 9 พันล้านบาท แบ่งเป็น งบซื้อที่ดิน 1 พันล้านบาท, งบลงทุนก่อสร้าง 4-5 พันล้านบาท และงบรองรับการลงทุนประมาณ 3-4 พันล้านบาท
“ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ราว 1.5 หมื่นล้านบาท อีกทั้งจะมาจากการระบายสต๊อกอย่างต่อเนื่องจากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในปี 2564 ประมาณ 6 พันล้านบาท ขณะที่การเปิดโครงการทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว จะทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้ทันที เพราะปกติโครงการแนวราบจะใช้ระยะเวลา 6 เดือนในการรับรู้รายได้ สำหรับต้นทุนการดำเนินงานบริษัทมีต้นทุนที่ดินต่ำเนื่องจากมีพันธมิตรที่มีที่ดินทำเลศักยภาพพร้อมให้บริษัทเข้าไปพัฒนา” นายธงชัย กล่าว
รักษามาร์เก็ตแชร์ 1 ใน 5
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้ารายได้ของบริษัทติดอันดับ 1 ใน 5 (Top 5) ของผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศภายในปี 2566 โดยมุ่งเน้นการเติบโตร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลาย สามารถต่อยอด, เสริมศักยภาพทางธุรกิจได้ในระยะยาว ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนคงที่, อัตราดอกเบี้ยจ่าย, ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์
โดยในระยะสั้นบริษัทจะโฟกัสในส่วนของธุรกิจซื้อมาขายไปที่มีมาร์จิ้นที่สูงกว่า ทำให้เราสามารถรักษาระดับ Net Profit Margin ได้ 15% ต่อปี จากนั้นจึงต่อยอดพัฒนาโครงการที่สามารถสร้าง Recurring Income เพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ
ล่าสุดบริษัทได้เข้าลงทุนบริษัท บริหารสินทรัพย์ เอส ดับบลิว พี จำกัด (SWP) ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ในสัดส่วน 20% ซึ่งมีกำหนดชำระเงินประมาณ 3-4 พันล้านบาทภายในไตรมาส 1/2564 ซึ่งการเข้าลงทุนในธุรกิจ AMC จะเป็นหนึ่งธุรกิจที่สร้างโอกาสการเติบโตและการเข้าถึงสินทรัพย์ที่มีคุณภาพให้กับบริษัทได้มากขึ้น