CMC ส่งซิกผลงานครึ่งปีหลังฟื้น! เร่งสร้างคอนโดฯ 4 แห่ง หนุนปีหน้าพลิกมีกำไร
CMC ส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง ประเมินทิศทางครึ่งปีหลังเติบโต หลังโควิดคลี่คลาย เศรษฐกิจฟื้นตัว และได้มาตรการรัฐหนุน เร่งก่อสร้างคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,200 ล้านบาท เตรียมส่งมอบปีหน้า พร้อมบุกลงทุนพัฒนาโครงการแนวราบครั้งแรก หวังหนุนผลงานปีหน้าพลิกมีกำไร เดินหน้าธุรกิจด้านการแพทย์ต่อเนื่อง
นายแพทย์วิเชียร แพทยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ CMC เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 มีทิศทางเติบโตขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวม 599.12 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 25.29 ล้านบาท หลังจากสถานการณ์ของโควิด-19 คลี่คลาย ประกอบกับเศรษฐกิจภายในประเทศฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง (LTV) ที่จะสิ้นสุดในปี 2565 ก็เป็นอีกปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ แนวโน้มผลการดำเนินงานของ CMC ในช่วงไตรมาส 3/2565 ที่ผ่านมา เติบโตขึ้นอย่างชัดเจน และเป็นไตรมาสที่มีการเติบโตสูงสุดในปีนี้ หลังจากเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสรุปผลการดำเนินงานที่ชัดเจน คาดว่าจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้เร็ว ๆ นี้ สำหรับในไตรมาส 4/2565 ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อีกครั้ง เพื่อประเมินภาพรวมในปี 2565 ว่าผลการดำเนินงานจะมีโอกาสกลับมาเป็นบวกได้หรือไม่
“ในช่วงไตรมาส 1/2565 เป็นไตรมาสที่แย่สุดของเรา แต่พอไตรมาส 2/2565 เริ่มมีการฟื้นตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมา บริษัทเริ่มมีกำไรแต่ยังไม่มาก ซึ่งพอรวมในงบครึ่งปีผลยังเป็นขาดทุนสุทธิอยู่ ขณะที่ในไตรมาส 3/2565 ผลการดำเนินงานของเราดีขึ้นกว่าช่วงไตรมาส 2/2565 และในไตรมาส 4/2565 เราก็เชื่อว่าแนวโน้มจะดีต่อเนื่อง แต่ยังคงต้องติดตามต้นทุน และภาระในส่วนที่บริษัทได้ลงทุนไปก่อนหน้านี้อีกครั้งว่าจะสามารถกลับมาเป็นบวกได้หรือไม่” นายแพทย์วิเชียร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกที่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทได้ชะลอการก่อสร้างโครงการที่ได้ลงทุนไปแล้วทั้งหมด เพื่อรอดูสถานการณ์ แต่วันนี้บริษัทมีความมั่นใจกับสถานการณ์ของโควิด-19 อย่างมากว่า มีทิศทางที่ดีขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงได้เริ่มเดินหน้าก่อสร้างโครงการต่าง ๆ ต่อเนื่อง
โดยได้เร่งก่อสร้างคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3,200 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low Rise เพื่อจะรับรู้รายได้ในปี 2566 ประกอบด้วย 1.โครงการ ชาโตว์ อินทาวน์ รัชโยธิน (Chateau in Town Ratchayothin) มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท, 2.โครงการ ไซบิค พระราม 9–รามคำแหง 24 (CYBIQ Rama 9–Ramkhamhaeng 24) มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท, 3.โครงการ ไซน์บิค รัชดา 32 (CYBIQ Ratchada 32) มูลค่าโครงการ 660 ล้านบาท และ 4.โครงการ ซีรอคโค บางนา 36 (Cerocco Bangna 36) มูลค่าโครงการ 1,390 ล้านบาท
นายแพทย์วิเชียร กล่าวอีกว่า ในปี 2566 จะเป็นปีแรกที่บริษัทเริ่มบุกตลาดแนวราบ โดยบริษัทมีแผนจะลงทุนพัฒนาโครงการประเภทแนวราบหลายโครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม เป็นการปรับพอร์ตสินค้าของ CMC หลังจากในช่วงก่อนหน้านี้ที่มีแต่การพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียมเป็นหลัก เพื่อสร้างความสมดุลของพอร์ต และสร้างการรับรู้รายได้ที่เร็ว ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีที่ดินรองรับการเปิดตัวโครงการแนวราบแล้วทั้งหมด ทั้งนี้ ในปี 2566 หลังจากที่บริษัทมีการปรับพอร์ตสินค้า ประกอบกับจะมีการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ จำนวน 4 โครงการ บริษัทเชื่อว่าผลการดำเนินจะสามารถกลับมามีกำไรสุทธิได้แน่นอน
สำหรับกลยุทธ์หลักของบริษัทหลังจากนี้ บริษัทจะเดินหน้าปรับพอร์ตสินค้าตามแผนที่วางไว้ โดยบริษัทมีเป้าหมายภายในช่วง 5 ปีจากนี้ (ปี 2565-2569) สัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายจะลดลงเหลือประมาณ 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 75% และจะมีสัดส่วนรายได้อื่น เช่น กลุ่มธุรกิจด้านการแพทย์ เป็นต้น ที่ระดับ 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 25% ทั้งนี้ การปรับสัดส่วนของรายได้ดังกล่าว จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของรายได้รวมเติบโตขึ้นด้วย
ด้านธุรกิจด้านการแพทย์ นอกจากการลงทุนในโรงพยาบาลในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างกำไรค่อนข้างมาก เพราะได้รับอานิสงส์จากโควิด-19 และในปัจจุบันบริษัทยังมีความสนใจในธุรกิจด้านการแพทย์ที่เป็นกลุ่ม In trend (ทันสมัย) เช่น Senior home (ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ) โดยลักษณะที่ศึกษาในเบื้องต้นจะเป็นแบบเครือข่ายการให้บริการ ซึ่งจะเป็นการจับมือกับโรงพยาบาล หรือคลินิก เป็นต้น เพราะปัจจุบันประเทศไทยเริ่มประชากรในกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น ถือเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับบริษัท
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น