ORI ชูวัยชราต่างชาติ เล็งรัฐมีแพ็กกระตุ้น
ORI คาดรัฐเดินหน้า ผลักดันอสังหาริมทรัพย์เกษียณอายุ จูงใจทุนนอกซื้อ เป็นตัวช่วย ดันจีดีพี ปีหน้าบุกตลาดเต็มสูบกวาด ตลาดรีไทเมนต์ ชูอสังหาริมทรัพย์กลับมาเด่น 9 เดือน พรีเซลสูง 2.9 หมื่นล้านบาท ไตรมาส 3 พรีเซล สถิติออลไทม์ไฮ ไตรมาส 4 ไฮซีซันสูงอีก ดันทั้งปีทะลุเป้า 3.5 หมื่นล้านบาท ไม่ห่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ไตรมาส 4/2565 นี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกลับเข้าสู่ไฮซีซันที่ใกล้เคียงช่วงก่อน COVID-19 มากในรอบหลายปี ภาพรวมตลาด จะมีการแข่งขันเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมากในช่วงดังกล่าว และมีการทำการตลาดกันอย่างต่อเนื่อง ตามกำลังซื้อที่ฟื้นตัวขึ้นมาก ขณะที่ต้นทุนการพัฒนา โครงการยังไม่ปรับขึ้นมากนัก อีกทั้งการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐาน โดยเฉพาะรถไฟฟ้าหลายสายมีความคืบหน้า ไปมาก
ขณะเดียวกันประเมินว่าภาครัฐจะเดินหน้าในออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการผลักดันเรื่องอสังหาเพื่อรองรับการเกษียณอายุ (Retirement) ของชาวต่างชาติมากขึ้น ซึ่งจะจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้น และทำให้เกิดยอดการใช้จ่ายที่สูงในประเทศไทย ดังนั้นปี 2566 บริษัทจะเดินหน้าในการผลักดันโครงการรองรับวัยเกษียณอายุ มากขึ้น
ยอดขายทะลุเป้า
สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.- ก.ย.65) บริษัทมียอดขายจากโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมสะสมแล้วกว่า 29,398 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าราว 28% คิดเป็น ราว 84% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 35,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร 27% และกลุ่มคอนโดมิเนียม 73% หากแบ่งตามสถานะโครงการ มีสัดส่วนยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to Move) 48% และกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (On Construction) 52% โดยในไตรมาส 3/2565 บริษัทสามารถกวาดยอดขายได้ถึงกว่า 11,626 ล้านบาท เป็นสถิติสูงสุดของไตรมาสนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท
“สถานการณ์ COVID-19 ที่คลี่คลายลง ส่งผล ให้บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคปรับตัว ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นโครงการใหม่ที่เปิดตัวปีนี้จะมีมากขึ้น ทั้งที่ตั้งติดแนวรถไฟฟ้า รวมถึงใกล้แหล่งงาน สถาบันการศึกษา ชุมชนที่มีกำลังซื้อสูงทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ EEC
ซึ่งบริษัทได้พัฒนาคอนเซ็ปต์ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของ Gen Y และ Gen Z ยุคใหม่อย่างเต็มที่ ประกอบกับการเดินหน้าจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อ ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องในกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ เช่น แคมเปญภารกิจปิดดีลเดือด ส่งผลให้เรามียอดขายที่แข็งแกร่งจากทั้งฝั่งโครงการใหม่และโครงการพร้อมอยู่” นายพีระพงศ์ กล่าว
ส่วนแบรนด์ที่ได้รับการตอบรับดีอย่างมากในช่วง 9 เดือนแรก ได้แก่ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) แบรนด์คอนโดมิเนียมเจาะตลาดกลุ่มคนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) และกลุ่ม Gen Z
บริกซ์ตัน (Brixton) แบรนด์คอนโดมิเนียมเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มในราคาเข้าถึงได้ (Affordable Niche) จากการผสานจุดขายโดนใจผู้บริโภค อาทิ คอนเซ็ปต์ Pet Lover Condo ห้องแบบ Duo Space เพดานสูง 4.2 เมตร ส่งผลให้หลายโครงการภายใต้ 2 แบรนด์ดังกล่าวที่เปิดขายเมื่อต้นปีนี้ มียอดขายสะสม (Take up Rate) มากกว่า 80% อีกทั้งยัง Sold out โครงการที่เพิ่งเปิดใหม่ในปี 2565 นี้ ไปถึง 2 โครงการ ภายในครึ่งปีแรก คือ โครงการโซ ออริจิ้น เกษตร (So Origin Kaset) และโครงการ บริกซ์ตัน แคมปัส บางแสน (Brixton Campus Bangsaen) สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ในฐานะ เจ้าตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับคน Gen Y และ Gen Z เป็นการต่อยอดความสำเร็จต่อจากแบรนด์ในระดับลักซ์ชัวรีอย่างพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ
13 โครงการกระตุ้นยอด
บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ช่วงไตรมาส 4/2565 อีกทั้งสิ้น 13 โครงการ มูลค่ารวม 14,950 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 8,600 ล้านบาท และบ้านจัดสรร 6 โครงการ มูลค่า 6,350 ล้านบาท เชื่อมั่นว่าโครงการดังกล่าวจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค และสร้างยอดขายได้อย่างดีในช่วงโค้งสุดท้าย ส่งผลให้ยอดขายทั้งปีของบริษัททะลุ 35,000 ล้านบาท สร้างสถิติ All Time High อีกครั้งได้ตามเป้าหมายทั้งปีที่วางไว้ ส่วนอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นนั้น ไม่กระทบกับดีมานด์ เนื่องจากการที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องระยะยาว ไม่ได้พิจารณาแค่ดอกเบี้ย
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จากัด (มหาชน) ระบุว่า โมเมนตัมยอดพรีเซลของ ORI ยังคงแข็งแกร่งในไตรมาส 3/2565 ส่วนการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลังจะผลักดันยอดพรีเซล คาดว่ากำไรหลักช่วงไตรมาส 3-4 จะดีขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน คาดว่ากำไรในปี 2565 จะแตะจุดสูงสุด นอกจากนี้ยังมีอัพไซด์เพิ่มจากการลงนามใน สัญญาสำหรับโครงการร่วมทุน 3-6 โครงการในครึ่งปีหลัง คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 14 บาท
ที่มา: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น