ค่ายอสังหาฯ เปิดเกมรุกปีเสือ จับทำเลทอง พร้อมอัดโปรฯ ดุ
ค่ายอสังหาริมทรัพย์ “โนเบิล-แสนสิริ-แอล.พี.เอ็น.” เปิดเกมรุกประเดิมศักราชใหม่ ยึดทำเลทองใกล้ห้างและแนวรถไฟฟ้า พร้อมอัดโปรโมชันเดือดทั้งลด-ทั้งแถม มั่นใจภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2565 จะฟื้นตัวขึ้นจากปีก่อน แม้จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ อย่าง “โอมิครอน” ก็ตาม
หลังจากเผชิญกับวิกฤตโควิดที่ส่งผลต่อภาคอสังหาริมทรัพย์มากว่า 2 ปี หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ปี 2565 นี้จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทำได้ครอบคลุม ประกอบกับภาครัฐมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดมากขึ้น ทั้งต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองบ้าน-คอนโดเหลือ 0.01% ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม บ้านใหม่และบ้านมือสอง
รวมถึงการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) จากธนาคารแห่งประเทศไทย เป็น 100% จนถึงสิ้นปี 2565 (จากเดิมที่เพดาน LTV สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่ที่ระดับ 70-90%) และมีการผ่อนปรนให้ต่างชาติเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ในไทยได้ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการที่กล้าเดินหน้าต่อมากขึ้น
ประเดิมที่ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) “NOBLE” ที่ถือครองโครงการที่อยู่อาศัยในทำเลชั้นนำของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นหลัก ประกาศเดินเกมรุกผุด 18 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 47,700 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายแตะ 28,000 ล้านบาท พร้อมวางงบ ซื้อที่ดินอีกราวๆ 3,000 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์เน้นกระจายทำเลเพื่อตอบโจทย์ทุกกลุ่มความต้องการ หวังขึ้นเป็น TOP 5 ของอุตสาหกรรม
ในจำนวน 18 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ รวมถึงคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 12 โครงการ มูลค่า 18,800 ล้านบาท และโครงการประเภทแนวสูงอีก 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,900 ล้านบาท ซึ่งปีนี้โนเบิลวางเป้าเพิ่มสัดส่วนโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ในพอร์ตให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้าที่หลากหลายสำหรับทุกกลุ่มลูกค้า โดยคาดว่าจะเพิ่มการพัฒนาโครงการแนวราบถึง 50% ซึ่งการหันมาพัฒนาโครงการ อสังหาฯ แนวราบจะทำให้โนเบิลสามารถรับรู้รายได้ได้เร็วขึ้น เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างน้อยลง
ในส่วนของทำเลที่ตั้งโครงการเน้นกระจายตัวรอบกรุงเทพฯ ทั้งถนนเอกมัยรามอินทรา, โซนดอนเมือง, ถนนศรีนครินทร์, ถนนกรุงเทพกรีฑา, ถนนราษฎร์บูรณะ, ถนนสุขสวัสดิ์, ถนนราชพฤกษ์ และยังยึดทำเลใจกลางเมืองอย่างถนนเพลินจิต และย่านอารีย์ ทำเลทองที่หาพื้นที่ได้ยากยิ่ง
โดยชิงจังหวะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมกัน 5 โครงการในไตรมาสแรกของปี ชูจุดเด่น 3 คอนโดฯ ติดห้าง 1 โครงการใจกลางอารีย์ และ 1 โครงการแลนด์มาร์กใจกลางดอนเมือง ที่ทำการตลาดอย่างหนักในช่วงนี้ ประกอบด้วย
1. นิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9 (Nue Noble District R9) คอนโดมิเนียมแนวสูง ติดห้างเซ็นทรัลพระราม 9 ใกล้กับ MRT
2. นิว โนเบิล เมกา พลัส บางนา (Nue Noble Mega Plus Bangna) คอนโดมิเนียมแนวสูงติดห้างเมกา บางนา ที่ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท
3. นิว โนเบิล ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น (Nue Noble Z-Square Suan Luang Station) คอนโดฯ Low rise ติดห้างซีคอนสแควร์ ใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลืองสถานี ‘สวนหลวง ร.9’ ครอบคลุมตั้งแต่ MRT สายสีน้ำเงิน/สายสีส้ม/สายสีเขียว และ Airport Rail Link ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท
4. นิว โนเบิล อีโว อารีย์ (Nue Noble Evo Ari) คอนโดมิเนียมแนวสูงบนที่ดินผืนท้ายๆ ใจกลางย่านอารีย์ และ 5. นิว โนเบิล คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง (Nue Noble Connex Condo Donmueang) คอนโดมิเนียมแนวสูง และ Low Rise ใจกลางดอนเมือง ส่วนอีก 13 โครงการ ทั้งคอนโดฯ บ้านแฝด ทาวน์โฮม จะทยอยเปิดตัวในช่วง ที่เหลือของปี
จับกระแสคริปโตฯ เล็งนำมาใช้ซื้อขายในโครงการ
นอกจากนี้ โนเบิลยังอยู่ระหว่างดำเนินการนำ “คริปโตเคอเรนซี” (Cryptocurrency) สกุลเงินดิจิทัลมาใช้ในการซื้อขายอสังหาฯ ในโครงการ ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำมาใช้ได้ภายในไตรมาสสองของปี เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการชำระเงินและอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าชาวจีนที่คาดว่าจะกลับมาในช่วงครึ่งปีหลัง
ด้านแสนสิริเน้นอัดโปรฯ ลด-แจก-แถม ตั้งแต่ ต้นปี ด้วยแคมเปญ “โปร-เต-ลู” รับ 3 เทศกาลใหญ่ “ปีใหม่-ตรุษจีน-วาเลนไทน์” ตั้งเป้ายอดขายไตรมาสแรกพุ่ง 8,000 ล้านบาท
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริพร้อมสนับสนุนมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของภาครัฐ เนื่องจากเป็นแนวทางที่สนับสนุนและบรรเทาภาระแก่ประชาชน
ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง จึงได้เปิดตัวแคมเปญ ‘โปร-เต-ลู’ ที่มาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษใน 65 โครงการของแสนสิริ
ทั้งสิทธิ์ลุ้นรับทองคำเมื่อจองคอนโดมิเนียมของ แสนสิริ พร้อมฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน ฟรีเฟอร์นิเจอร์ ฟรี เครื่องใช้ไฟฟ้า และฟรีค่าส่วนกลางสูงสุด 2 ปี ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละโครงการ
รับโชคต้นปีสูงสุด 2 ล้านบาท อยู่ฟรีนาน 2 ปี หรือผ่อนสบาย 3 ปี พร้อมทางเลือกทางการเงินเมื่อจอง 50 โครงการบ้านและทาวน์โฮมของแสนสิริ เช่น โปรฯ แสนสิริผ่อนให้สูงสุด 24 เดือน, ผ่อนต่ำล้านละ 2,500 บาท นาน 2 ปี, ดอกเบี้ยต่ำ 2.25% นาน 3 ปี ซึ่งทุกโครงการฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน และฟรีค่าส่วนกลางสูงสุด 2 ปี (เมื่อจองและโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2565)
นอกจากนั้น ยังจูงใจด้วยส่วนลดจาก 7 พาร์ตเนอร์แบรนด์ดังของแสนสิริ ไม่ว่าจะเป็น บุญถาวร, Lamptitude, PASAYA, PASAYA CURTAIN, SB Design Square, Starmark และ V.Pack & Move (Bangkok) อีกด้วย
สำหรับปีนี้แสนสิริตั้งเป้ายอดขายในไตรมาสแรกไว้ถึง 8,000 ล้านบาท เพราะเชื่อว่ามาตรการรัฐและเกณฑ์ใหม่ LTV ที่ประกาศใช้จะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ตลาดอสังหาฯ คึกคักมากขึ้น และมีทิศทางที่ดีขึ้น
มาถึงอีกค่ายใหญ่ของภาคอสังหาฯ อย่างบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ที่ประกาศรุกปีเสือด้วยการเปิดตัวแคมเปญ ลุมพินี “บิ๊กช็อค ลดยกตึก ขายราคาเดียว” พร้อมตั้งเป้ายอดขายไตรมาสแรก 3,000 ล้านบาท
ซึ่ง แอล.พี.เอ็น. เองก็มองไปในทิศทางเดียวกันว่า มาตรการจากภาครัฐจะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ภาคอสังหาฯ ฟื้นตัว โดย นางปนัดดา ขจรศิลป์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2565 เป็นปีทองสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากมาตรการของภาครัฐทั้ง 2 มาตรการ จะช่วยให้ผู้ซื้อบ้านสามารถลดค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านได้ เฉพาะในส่วนของการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ทำให้ผู้ซื้อสามารถลดค่าใช้จ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยได้ล้านละ 29,800 บาท และยังไม่ต้องจ่ายเงินดาวน์ สามารถกู้ได้ 100% จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ซื้อในปี 2565 ซึ่งทีมวิจัยของ แอล.พี.เอ็น. คาดว่าตลาดอสังหาฯ ในปี 2565 มีแนวโน้มที่จะเติบโตประมาณ 10-15% เมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นแรงกระตุ้นจาก 2 มาตรการดังกล่าว
จากปัจจัยบวกดังกล่าวทำให้ แอล.พี.เอ็น. เดินเกมรุกด้วยการเปิดตัวแคมเปญ ลุมพินี “บิ๊กช็อค ลดยกตึก ขายราคาเดียว” โดยการนำเอาคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ในราคาต้นทุนเดิม 17 โครงการ 3,700 ยูนิต มูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท มาลดราคาสูงสุดถึง 2.44 ล้านบาท โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 940,000 บาท และเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่กระจายอยู่ในทุกทำเลทั่วกรุงเทพฯ พัทยา ชะอำ และอุดรธานี
ซึ่งแคมเปญดังกล่าว แอล.พี.เอ็น. มองว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียม ได้ง่ายขึ้นด้วยต้นทุนในการซื้อที่ต่ำกว่าเดิม เหมาะสำหรับการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและการลงทุนเพื่อปล่อยเช่าที่สามารถให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 4-7% ขึ้นอยู่กับทำเล
โดย แอล.พี.เอ็น. ตั้งเป้ายอดขายจากแคมเปญ ลุมพินี “บิ๊กช็อค ลดยกตึก ขายราคาเดียว” ไว้ที่ 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายยอดขายรวมไตรมาสแรกของปี 2565 ที่ 3,000 ล้านบาท
ในขณะที่ผลสำรวจของ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study คาดการณ์ว่า ปี 2565 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ เช่นกัน แต่ระดับราคาจะยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก โดยผู้ประกอบการเน้นการออกโปรโมชันดึงดูดกำลังซื้อ อีกทั้งยังไม่มีสัญญาณอุปทานล้นตลาดหรือเกิดภาวะฟองสบู่แต่อย่างใด โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาคือการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของภาครัฐ
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ปีเสือที่ดำเนินอยู่นี้ ถือเป็นปี “ปล่อยของ” จากค่ายอสังหาฯ ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
ที่มา: ผู้จัดการสุดสัปดาห์ 360 องศา