สิงห์เอสเตท ฝ่าวิกฤติเร่งปรับพอร์ตดันโตก้าวกระโดด
สถานการณ์โควิด-19 ที่ยืดเยื้อส่งผลให้ “เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ” ทุกประเทศทั่วโลก ! ทว่า บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S คงนโยบายกระจายความเสี่ยงพอร์ตธุรกิจ ส่งผลให้ลดความรุนแรง สะท้อนผ่านช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เทรนด์การใช้ชีวิต และรูปแบบพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างมาก สร้าง “โจทย์ใหม่” และ “โอกาส"ในการต่อยอดที่แตกต่างกันไปในแต่ละธุรกิจ ดังนั้น จึงเน้นปรับสินค้าบริการตลอดจนพอร์ตของบริษัท เพื่อฉกฉวยโอกาสเสริมให้รากฐานทางธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ผ่าน 3 Game changing deals
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า สำหรับ Game changing deal ที่ 1 คือ การเข้าลงทุนเพิ่มเติมจนเป็น ผู้ถือหุ้นรายเดียวของ “26 โรงแรม” ในสหราชอาณาจักร เนื่องจากคาดกลุ่มโรงแรมในสหราชอาณาจักรมีแนวโน้มฟื้นตัวโดดเด่นและรวดเร็ว และจะช่วยเสริมทัพให้ผลประกอบการธุรกิจโรงแรมโดยรวมแข็งแกร่งขึ้น
“หลังจากบริษัทเข้าถือกลุ่มโรงแรมสหราชอาณาจักร 100% ได้เพียง 1 ไตรมาส อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (ADR) ก็ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงก่อนโควิดได้อย่างมีนัย ดันรายได้เติบโตเกินคาด พลิกให้ธุรกิจโรงแรมรายงานผลกำไรในเชิง EBITDA ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ตอกย้ำว่าการลงทุนในครั้งนี้เหมาะสมทั้งในด้านทรัพย์สิน และเงื่อนเวลา”
อย่างไรก็ตาม หัวใจการเติบโตธุรกิจโรงแรม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ “การสร้าง” หรือ “ซื้อโรงแรม” หากแต่คือการปรับพอร์ตให้สมดุลอยู่เสมอ ซึ่งนิยามของการปรับพอร์ตตามแบบฉบับของ สิงห์ เอสเตท คือ การทำ “Asset rotation” หมุนเงินจากการขายโรงแรมต่อยอดลงทุน uplift ในโรงแรมที่มีศักยภาพ หรือเพิ่มกำไรโดยไม่ต้องใส่เงินลงทุนเพิ่มนั่นเอง
ในปี 2565 บริษัทเชื่อมั่นว่าธุรกิจโรงแรมจะรายงานผลกำไรเต็มปีเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2562 ด้วยแรงส่งจากกลุ่มโรงแรมสหราชอาณาจักรที่ได้รับอานิสงส์จากตลาดท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมาใกล้เคียงระดับปกติ และการเปิดให้บริการเต็มปีเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี เสริมด้วยความแข็งแกร่งของอุปสงค์ในโครงการ CROSSROADS ประเทศมัลดีฟส์
สะท้อนจาก ADR ในไตรมาส 4 ที่เป็น new high และยอดจองห้องพักที่เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ แม้มีปัจจัยหน่วงจากความกังวลเชื้อ โอมิครอน ทั้งนี้โครงการ CROSSROADS มี จุดขายสำคัญคือทำเลที่ตั้งที่ใช้เวลาเพียง 15 นาที ด้วย Speed boat จากสนามบิน และเป็นโครงการ Fully integrated tourist facility แห่งเดียวในมัลดีฟส์ นำเสนอห้องพักที่มีความหลากหลายทั้งในด้านรูปแบบและราคา
และมี township ชื่อ The Marina at CROSSROADS พรั่งพร้อมด้วยร้านค้า ร้านอาหารมากมาย รวมไปถึงศูนย์เรียนรู้สัตว์น้ำ ตลอดจนห้องประชุมสัมมนา ส่งเสริมให้ โครงการ CROSSROADS กลายเป็น Destination ที่ตอบโจทย์ลูกค้าหลายกลุ่ม
ทั้งกลุ่มการท่องเที่ยวแบบคู่ honeymoon, ครอบครัว, budget traveler รวมไปถึงกลุ่ม Corporate ที่ต้องการจัด Corporate activities หรือแม้แต่คู่รักที่ต้องการจัดงานแต่งงาน ปี 65 จะเป็นการเปิดให้บริการเต็มปีเป็นครั้งแรกของโครงการ CROSSROADS นับตั้งแต่เริ่มเปิดตัวเป็นทางการปี 62
Game changing deal ที่ 2 คือ การขาย Arm ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนบราบ เดิม สิงห์ เอสเตท ถือหุ้น 52% ออกไปในต้นปี 2564 เพื่อ “ปลดล็อก” ให้บริษัทสามารถเดินหน้าพัฒนาโครงการแนวราบ ซึ่งมีอุปสงค์แข็งแกร่ง เติบโตได้แม้ช่วงวิกฤติ โควิด-19 ได้ด้วยตนเองเต็มสัดส่วน 100% ด้วย เป้าหมายมุ่งสู่สัดส่วนรายได้โครงการแนวราบ 75% และโครงการคอนโดมิเนียม 25% นอกจากขยายพอร์ตโครงการแนวราบแล้ว บริษัทยังมุ่งต่อยอดธุรกิจโดยรุกเข้าสู่ Blue ocean อื่นๆ อาทิ การคิดค้น Solution เพื่อตอบโจทย์ Smaller cheque size และ high liquidity ของ Yield player investor ตลอดจนการตั้งเป้าพัฒนาโครงการรับ aging society ด้วย Spectrum การลงทุนที่ไม่ได้ หยุดแค่รูปแบบการพัฒนาอาคารแบบ universal design แต่ผนวกรวมบริการจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพผู้สูงอายุ และคนไข้พักฟื้นหลังผ่าตัด ทำให้โครงการของสิงห์ เอสเตทสามารถ เอื้อมไปถึงลูกค้ากลุ่ม Skilled nursing และ Rehabilitation ซึ่งแตกต่างจากโครงการของ developers โดยทั่วไปที่ตอบโจทย์แค่เพียง independent living
ปี 2565 เป็นอีกปีที่น่าจับตามองของ “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” นอกจากการทยอยรับรู้รายได้จาก Quality Backlog มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท พร้อม upside จากการขาย available for sales คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 2,800 ล้านบาท และกว่า 30% คาดจะบรรลุข้อตกลงซื้อขายได้ภายใน 2565 พร้อมด้วยไฮไลต์สำคัญซึ่งคือการเปิดตัว New housing series ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากการใส่ใจในทุกรายละเอียด ภายใต้แนวคิดบ้านเพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิต และจะขึ้นแท่นแหล่งรายได้หลักของธุรกิจนี้ในระยะข้างหน้า ทั้งนี้โครงการแรกที่เปิดขายในปีหน้าจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว สนนราคาต่อหลัง 60-100 ล้านบาท มูลค่าโครงการราว 3,000 ล้านบาท โดยบริษัทได้เตรียมบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ทันภายในปี
Game changing deal ที่ 3 คือ การรุกเข้าสู่ “ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน” ซึ่งเป็นธุรกิจขาที่ 4 ของบริษัท โดยเริ่มจากการซื้อนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดอ่างทองขนาดกว่า 2,000 ไร่ และ เข้าถือหุ้น 30% ในโรงไฟฟ้า Co-gen 3 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้พื้นที่นิคมอ่างทอง กำลังการผลิตรวมกว่า 400 เมกะวัตต์ บริหารจัดการโดย บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ซึ่งโรงไฟฟ้าเปิดดำเนินการแล้ว 1 โรง และอีก 2 โรง จะเริ่ม COD ปลายปี 2566
โดยความน่าสนใจของธุรกิจนี้คือ การสร้างอะไรที่มากกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยนิคมอุตสาหกรรมสร้างความสมดุล ให้กับพอร์ตลงทุนโดยเติมการลงทุน ธุรกิจที่มีฐานลูกค้าประเภทองค์กร (Corporate) เพิ่มเข้าไปในพอร์ตที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยธุรกิจที่มีฐานลูกค้ากลุ่ม End-user หรือ consumer base เป็นหลัก ในขณะที่โรงไฟฟ้าสร้าง ความสม่ำเสมอของรายได้ โดยกว่า 270 เมกะวัตต์ หรือราว 70% ของกำลังผลิตทั้งหมดโรงไฟฟ้า 3 แห่ง มีสัญญารับซื้อไฟ จาก EGAT เรียบร้อยแล้ว และยังเปิด potential upside จากการขายไฟฟ้าจากกำลังการผลิตไฟที่ยังเหลืออยู่ให้กับลูกค้าในนิคมอ่างทอง
สำหรับ “ธุรกิจอาคารสำนักงาน” แม้จะไม่มี Game changing deal ใหญ่ๆ แต่ก็มีพัฒนาการ ที่น่าสนใจ อาทิความสำเร็จ ของ Worko ซึ่งเป็น homegrown brand coworking space สะท้อนผ่านการ sold out dedicated space ภายในไม่กี่เดือนหลังจากเปิดให้บริการ และกลางปีหน้า S Oasis อาคารสำนักงานแห่งใหม่พร้อมเปิดให้บริการ โดยที่ผ่านมากระแสตอบรับ ค่อนข้างดี มีลูกค้าแสดงความสนใจ เข้าเยี่ยมชมจำนวนมาก บริษัทเชื่อว่า S Oasis จะกลายเป็นแหล่งสร้างรายได้ ที่สำคัญให้กับธุรกิจนี้ในอนาคต
ท้ายสุด “ฐิติมา” บอกไว้ว่า 3 Game changing deals ที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติโควิดที่ผ่านมาช่วยปลดล็อกและเปิดโอกาสให้ สิงห์ เอสเตท จัดพอร์ตได้อย่างเหมาะสม พร้อมเปิดเกมรุกต่อโดยเน้นการผนึกกำลังธุรกิจโรงแรม-อสังหาฯอาคารสำนักงาน-นิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ