ธุรกิจอสังหาฯ เจ้าสัวเจริญ รุกลงทุน GOLDเร่งแชร์แนวราบ-พร้อมเปิดศูนย์การค้า

13 พ.ค. 2563 485 0

         แลนด์” รับผลบวกการ กระจายความเสี่ยงธุรกิจ โครงการแนวราบ ค่าเช่าจากโครงการเชิงพาณิชย์หนุน ส่งผลกำไรสุทธิกว่า 351 ล้านบาท ครึ่งปีหลังเปิด 8 โครงการใหม่ 9,400 ลบ. ด้าน UV ปรับโมเดลการลงทุน ลดการพึ่งพารายได้อสังหาฯ หลังออกจากตลาดหุ้น ค่าย NCH ปรับกลยุทธ์เน้นประสิทธิภาพบริหารหนี้สิน

          นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ กล่าวว่า ยอดรับรู้รายได้สำหรับรอบระยะเวลา 3 เดือน (1 ม.ค.-31 มี.ค. 63) จำนวน 3,994 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา (1 ต.ค. 62-31 ธ.ค. 62) และมีกำไรสุทธิกว่า 351 ล้านบาท แม้อยู่ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 แต่บริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่งมียอดขายจากโครงการแนวราบ และค่าเช่าจากโครงการเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง

          “บริษัทฯ ได้มีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ซึ่งมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการบริหารกระแสเงินสด เพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน โดยทั้งปีจะเปิดขาย 13 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท และคาดการณ์รายได้จากโครงการเชิงพาณิชย์ 1,000 ล้านบาทจากอาคารสำนักงาน FYI เซ็นเตอร์ และมิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์ ที่ยังคงเปิดให้บริการได้ตามปกติ และศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ที่จะกลับมาเปิดบริการเต็มรูปแบบภายในเดือน มิ.ย. 63”

          สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการแนวราบยังมีขายที่ดี โดยมียอดเข้าชมโครงการเพิ่มขึ้น 40-50% เนื่องจากลูกค้ามีความจำเป็น ต้องใช้จริงจากการปรับรูปแบบทำงานที่บ้าน ที่ต้องการพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยและทำงาน ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายสะสม 2,900 ล้านบาท รับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้ และในครึ่งปีหลังจะเปิดใหม่ 8 โครงการแนวราบมูลค่า 9,400 ล้านบาท

          ดีมานด์ใช้พื้นที่ สนง.ยังไม่ลดลง

          สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน บริษัทฯ ยังเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ รูปแบบการทำงานที่ทำงาน (Work at Office) จะกลับมาเช่นเดียวกัน เพราะยังจำเป็นต้องใช้พื้นที่สำหรับการประชุม และการใช้พื้นที่ร่วมกันของพนักงาน โดยจะมีการปรับความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น จึงคาดว่าจะไม่ทำให้ภาพรวมความต้องการพื้นที่สำนักงานลดลงจนเกิดผลกระทบ

          ส่วนธุรกิจศูนย์การค้า ทางบริษัทฯ มีความพร้อมเปิดให้บริการสามย่านมิตรทาวน์ หากภาครัฐประกาศให้สามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ ก็พร้อมเปิดให้บริการได้ใน 1-2 สัปดาห์

          “แม้สถานการณ์ภาวะวิกฤตโควิด-19 ของประเทศไทยจะดีขึ้น แต่คงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ความท้าทายกลับอยู่ที่การวางแผนหลังจากวิกฤตคลี่คลาย ในการปรับตัวไปสู่ New Normal เช่น มาตรการรองรับรูปแบบการขายอสังหาฯ เพื่อจัดการคิวจองในวันเปิดโครงการ การเปิดศูนย์การค้าอย่างระมัดระวัง และให้ความสำคัญกับมาตรการระยะห่างทางสังคม ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความพร้อมปรับตัวสู่ New Normal ที่สามารถรักษาผลการดำเนินงานของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับที่ไม่เกิดผลกระทบกับพนักงาน คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ”

          UV ปรับพอร์ต ลดพึ่งพารายได้อสังหาฯ

          นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2 (1 ม.ค.-31 มี.ค. 63) มีผลกำไรสุทธิส่วนของบริษัท อยู่ที่ 24.2 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 996.7 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 493.6 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 52% ของรายได้รวม รายได้จากธุรกิจสังกะสีออกไซด์ 328.3 ล้านบาท คิดเป็น 33% รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและธุรกิจโรงแรมรวมคิดเป็น 6% ของรายได้รวม หรือ 53.8 ล้านบาท และรายได้ธุรกิจอื่นประมาณ 9% หรือ 121 ล้านบาท

          ทั้งนี้ หลังการขายหลักทรัพย์ของ GOLD บริษัทฯ อยู่ในช่วงของการพิจารณาการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ โดยบริษัทมีแผนปรับโครงสร้างการลงทุน เพื่อลดการพึ่งพา รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้าง ความสมดุลให้กับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่ม ยูนิเวนเจอร์มากขึ้น ปัจจุบันบริษัทฯ มี Backlog ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2563 ประมาณ 1,000 ล้านบาท และทยอยรับรู้รายได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า อีก 2,200 ล้านบาท

          NCH เน้นประสิทธิภาพบริหารหนี้สิน

          นายสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาสแรกของปี 2563 (ม.ค.-มี.ค.) ว่า มีกำไรสุทธิ 32.82 ล้านบาท ลดลง 25.46 ล้านบาท หรือลดลง 77.57% สาเหตุมาจาก ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 333.29 ล้านบาท ลดลงจากที่มีรายได้รวม 408.47 ล้านบาท หรือลดลง 18.40% มีรายได้จากการขาย 328.98 ล้านบาท ลดลง 72.58 ล้านบาท หรือลดลง 18.07% รายได้ค่าเช่าและบริการลดลง 3.05 ล้านบาท หรือลดลง 55.83%

          ขณะที่ค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนขาย ต้นทุนให้เช่าและบริการเพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของต้นทุนทางการเงินปรับลดลง 15.46% เนื่องจากเงินกู้จากสถาบันการเงินลดลง รวมถึงตัวเลขหนี้สินรวมมีการปรับลดลง 39.94 ล้านบาท มาอยู่ที่ 1,490.81 ล้านบาท หรือลดลง 2.61% เนื่องจากการบริหารจัดการหนี้สินของบริษัทและบริษัทย่อยมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          EVER คาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้น

          นายสวิจักร์ โลจายะ ประธานกรรมการ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) (EVER) กล่าวคาดหวังว่า ภาพรวมตลาดอสังหาหลังผ่านวิกฤตไวรัสโควิด-19 มีโอกาสเกิดภาวะการปรับสู่จุดสมดุลมากขึ้น ทยอยฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท และตลาดบ้านเดี่ยว ยังเป็นตลาดของผู้ที่มีกำลังซื้ออยู่ และเป็น Real Demand ส่วนการซื้อขายอสังหาฯ ก็น่าเริ่มกลับมาแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปมากกว่า เนื่องจากยังมีปัจจัยลบของเศรษฐกิจ และการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ดังนั้น ผู้ประกอบพยายามระบายสต๊อกที่มีอยู่และบริษัทฯให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการใหม่อย่างรอบคอบที่สุด

          “สถานการณ์วิกฤตไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ยอดผู้เข้าชมโครงการ (Walk in) ลดน้อยลง บริษัทฯจึงปรับมาขายผ่านช่องทางออนไลน์ และการทำ Re-Marketing เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจให้กับลูกค้า โดยในไตรมาสสอง เตรียมเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว ซิลเวอร์เลค พาร์ค เฟส 2 มูลค่าโครงการกว่า 400 ล้านบาท ราคา 5-9 ล้านบาท จำนวน 67 หลัง และมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบ ทาวน์เฮาส์ เอเวอร์ซิตี้ สุขสวัสดิ์-พุทธบูชา 30 เฟส 2 เพิ่ม”

          สำหรับผลประกอบการในไตรมาสแรกว่า มีรายได้รวมสำหรับงวด 3 เดือนเท่ากับ 447.65 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 19.87 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิลดลง 95.07% เป็นกำไรในส่วนของบริษัทใหญ่ แม้จะปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้จำนวนของยอดผู้ เข้าชมโครงการลดน้อยลง

          โดยในส่วนของรายได้จากการขายและให้บริการ สามารถทำได้ 322.73 ล้านบาท เทียบกับ 2,905.94 ล้านบาท หรือลดลง 88.89% เนื่องจากรายได้จากการขายอาคารชุดพักอาศัย และทาวน์โฮม มีจำนวน 239.97 ล้านบาท ลดลง 2,582 ล้านบาท หรือลดลง 91.50% ส่วนใหญ่ลดลงจากการโอนอาคารชุดพักอาศัย โครงการเดอะ โพลิแทน รีฟ, โครงการเดอะ โพลิแทน บรีช, โครงการมายโฮม อเวนิว และกลุ่มโรงพยาบาล ตัวเลขรายได้ลดลง

          ปัจจุบัน บริษัทฯมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นมีนาคมปี 2563 ประมาณ 5,000 ล้านบาท โครงการในมือและโครงการใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเพื่อเปิดขายจะมีการทยอยโอนให้ลูกค้า และยังมีสินค้ารอขายอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท

ที่มา:

คลิกเครื่องหมาย เพื่อเพิ่มลงตะกร้าเก็บทรัพย์ที่สนใจ หรือกดอีกครั้งเพื่อลบออก
คลิกเพื่อเลือก บ้านที่ต้องการแล้วกดปุ่ม "เปรียบเทียบ" ได้เลย