LPNใจป้ำปันผล0.10บาทลุยเปิด5โครงการใหม่Q4
LPN ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.10 บาทต่อหุ้น แม้ผลงานไตรมาส 2/2564 มีกำไรสุทธิ 120.98 ล้านบาท ลดลง 21.19% เหตุรายได้ขายคอนโดมิเนียมลดลง จากผลกระทบโควิด-19 ขณะที่ครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 243.85 ล้านบาท ลดลง 34% พร้อมเดินหน้าเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 5 พันล้านบาท ในไตรมาส 4/2564
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 มีกำไรสุทธิ 120.98 ล้านบาท ลดลง 21.19% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 155.72 ล้านบาท และมีรายได้รวม 1,360.88 ล้านบาท ลดลง 11.54% แบ่งเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ มีจำนวน 977.42 ล้านบาท ลดลง 20.30% มาจากรายได้คอนโดมิเนียมที่ลดลง 36.58% เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนโครงการแนวราบมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น 15% ในขณะเดียวกันรายได้จากธุรกิจให้เช่าและบริการ 82.66% และธุรกิจบริหารเพิ่มขึ้น 14.72% เป็นไปตามนโยบายกระจายฐานรายได้
จ่ายปันผล 0.10 บาท
ขณะที่ครึ่งปีแรก 2564 มีกำไรสุทธิ 243.85 ล้านบาท ลดลง 34% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 370.40 ล้านบาท โดยมียอดขาย 4,170 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ 2,220 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 520 ล้านบาท และยอดขายจากโครงการแนวราบที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ 460 ล้านบาท และอยู่ระหว่างก่อสร้าง 170 ล้านบาท อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 2,700 ล้านบาท ทยอยรับรู้ในปี 2564-2565 ทั้งนี้บริษัทยังคงเป้ารายได้ทั้งปีไว้ที่ 7,000 ล้านบาท ตามแผนที่วางไว้
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ยังอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก ในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 18 สิงหาคม 2564 กำหนดจ่ายวันที่ 3 กันยายน 2564
เล็งเปิด 5 โครงการใหม่
สำหรับครึ่งปีหลังของปี 2564 บริษัทมีมุมมองเป็นบวก โดยคาดว่าสถานการณ์การระบาดโควิด-19 จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ภายหลังจากภาครัฐดำเนินมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะการเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง โดยคาดว่าสถานการณ์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มค่อยๆ ฟื้นตัวในไตรมาส 4/2564 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 5 โครงการ ในไตรมาส 4/2564 ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 2 โครงการ และแนวราบ 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 5,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทได้วางยุทธศาสตร์แผน 3 ปีข้างหน้า ให้เป็นช่วงของการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรที่มีอัตราการเติบโตในด้านของรายได้ และความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ทั้งการเติบโตของรายได้ กำไร การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ พร้อมกับการพัฒนาคุณภาพของที่อยู่อาศัยและบริการ
ดังนั้นปีนี้บริษัทจึงได้เริ่มมีการวางแผนโดยปรับโครงสร้างองค์กร (Reorganization) จากโครงสร้างการทำงานตามหน้าที่ (Functional Organization) สู่การบริหารงานใน รูปแบบของหน่วยธุรกิจ (Business Unit) รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน (Digital Transform) ให้มีความคล่องตัว ภายใต้แรงกดดันที่มีต่อการดำเนินธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและยังไม่มีแนวโน้มที่จะคลี่คลายลง
ที่มา: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น