ชะลอซื้อบ้าน ฉุดอสังหาฯซึมยาว ดัชนีราคาลง สวนอุปทานพุ่ง

30 ก.ค. 2564 410 0

         บุษกร ภู่แส

         วิกฤติโควิด-19 ฉุดกำลังซื้อและเศรษฐกิจชะลอตัวหนักอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ “สงครามราคา"อาจเป็นยาแรงไม่พอ! ในการดึงดูดการซื้อ แม้ดัชนีราคา ไตรมาสล่าสุดยังคงลดลงต่อเนื่อง สวนทาง กับดัชนีอุปทานที่เพิ่มขึ้นถึง 37% จาก ปีก่อนหน้า

          กมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย ดีดี พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า วิกฤติโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นอุปสรรคสำคัญของการฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจและกระทบภาพรวมการเติบโตของทุกธุรกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้  ข้อมูลจากคณะกรรมการนโยบาย การเงิน (กนง.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ต่อปี เพื่อสนับสนุน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความ ไม่แน่นอนสูงและมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยง จากความยืดเยื้อของการแพร่ระบาด  อุปสงค์ในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกล่าสุดส่งผลให้ครัวเรือนจำนวนมากมีปัญหาในการชำระหนี้ เห็นได้จากระดับ หนี้ครัวเรือนปัจจุบันสูงถึง 90.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

          ภาคตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทย ได้รับผลกระทบไม่น้อย! ทั้งทางตรงจากมาตรการปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง และทางอ้อมจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลง แม้ผู้พัฒนา อสังหาฯ จะผลักดันโปรโมชัน สงครามราคา และใช้ช่องทางออนไลน์มาลดช่องว่างในการซื้อขาย แต่สภาพคล่องทางการเงิน และผลกระทบด้านอาชีพของผู้บริโภค ยังเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้จำเป็นต้องชะลอการตัดสินใจซื้อบ้าน คอนโดมิเนียม ออกไปก่อน แม้จะยังมีความต้องการ ที่อยู่อาศัยก็ตาม

          แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 42.7 จาก 41.6 ในเดือนก่อนหน้า แต่ผู้บริโภคก็ยังไม่เชื่อมั่นภาวะเศรษฐกิจ จึงวางแผนการเงินอย่างรัดกุมและใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยนานขึ้น แนวโน้มดัชนีราคาที่อยู่อาศัย ทุกประเภทลดลงต่อเนื่อง และคาดว่า จะไม่ปรับเพิ่มขึ้นในปีนี้ ขณะที่ดัชนีอุปทาน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนถึง 7% สะท้อนว่า ยังคงมีสินค้าคงค้างอยู่ในตลาดอีก พอสมควร”

          อย่างไรก็ดี ปัจจุบันผู้ประกอบการได้ปรับแผนเลื่อนการเปิดโครงการใหม่ นักลงทุน และผู้บริโภคที่มีสินค้าอยู่ในมือต่าง “ชะลอการขาย” เพื่อรอผลตอบแทนที่ดีกว่าในช่วงอื่นแทน คาดว่าจำนวนที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปีจะไม่สูงไปกว่านี้ และจะไม่เกิดภาวะล้นตลาด

          กุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ตลาด อสังหาฯฟื้นตัวเร็วขึ้นคือการจัดหาและกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครอบคลุมประชากรทั่วประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้รุนแรงมากไปกว่านี้ และภาครัฐควรมีมาตรการเพิ่มเติมช่วยเหลือ เยียวยาและพักหนี้ให้ผู้บริโภคที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยในขณะนี้ เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง”

          รายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ระบุข้อมูล เชิงลึกและวิเคราะห์ทิศทางตลาดอสังหาฯ ไทยไตรมาสล่าสุดพบว่า  จากสภาพเศรษฐกิจ ที่ยังคงเปราะบางต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี ส่งผลให้ผู้บริโภคประสบปัญหาทางการเงินและว่างงานมากขึ้น ทำให้ต้องชะลอการ ใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนออกไปรวมถึ งการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย แม้จะมีสงครามราคาที่อัดความคุ้มค่าเพื่อเปิดโอกาสทองให้ผู้ซื้อมากเพียงใด แต่ด้วยกำลังซื้อ ที่ค่อนข้างจำกัดจึงไม่ช่วยกระตุ้นให้เกิด การตัดสินใจซื้อเท่าที่ควร

          จะเห็นได้จากจำนวนที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น อย่างมากในไตรมาสล่าสุด ดัชนีอุปทานปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 428 จุด จาก 399 จุด  หรือเพิ่มขึ้นถึง 7% จากไตรมาสก่อน และ มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 37% จากปีก่อนหน้า ถือเป็นดัชนีอุปทานที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2558  หากพิจารณาในแต่ละทำเล กรุงเทพฯ ที่มีจำนวนที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส ได้แก่ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา เพิ่มขึ้นถึง 34% ตามมาด้วย แขวงดินแดง เขตดินแดง และแขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง เพิ่มขึ้นในสัดส่วน 11% เท่ากัน

          อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดระลอกนี้ ส่งผลต่อทิศทาง การเติบโตในตลาด ผู้พัฒนาอสังหาฯ ตัดสินใจ ชะลอการเปิดโครงการใหม่ออกไป เพื่อเร่งระบายสต็อกคงค้าง รวมถึงผู้บริโภคที่มี สินค้าอยู่ในมือก็ชะลอการขายออกไปเพื่อรอจังหวะที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่านี้

          ผลกระทบจากโควิดทำให้มุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อบทบาทของที่อยู่อาศัย เปลี่ยนแปลงไป หลายคนต้องใช้เวลาใน แต่ละวันที่บ้านมากขึ้น ส่งผลต่อการตัดสินใจ เลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ยุคนี้ซึ่งต้องมีพื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอและ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตหลากหลายรูปแบบ ทั้งรองรับการเรียนออนไลน์ ทำงานออนไลน์ ทำให้ที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงได้รับความสนใจในกลุ่มผู้บริโภคที่กำลังมองหาบ้านอย่างต่อเนื่อง”

          แม้ว่า คอนโดจะมีการจัดโปรโมชั่น ออกมากระตุ้นยอดขายจำนวนมาก แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เห็นได้ชัดจากดัชนีอุปทานล่าสุดที่คอนโดมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนถึง 7% โดยปัจจุบันคอนโด มีสัดส่วนสูงถึง 87% ของจำนวนอุปทานทั้งหมดในกรุงเทพฯ ขณะที่โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ มีสัดส่วนเพียง 7% และ 5% ตามลำดับ

ที่มา:

คลิกเครื่องหมาย เพื่อเพิ่มลงตะกร้าเก็บทรัพย์ที่สนใจ หรือกดอีกครั้งเพื่อลบออก
คลิกเพื่อเลือก บ้านที่ต้องการแล้วกดปุ่ม "เปรียบเทียบ" ได้เลย