เครือออริจิ้นฯ รุกตลาดก่อสร้าง NON-RESIDENTIAL
“ยูไนเต็ด” ในเครือ ออริจิ้น เร่งเดินหน้าธุรกิจบริหารงานโครงการและบริหารงานก่อสร้าง ครึ่งปีหลังบุกประมูลงานควบทำการตลาดกลุ่ม Non-residential projects หวังเพิ่มโอกาสเติบโตทั้งแนวลึกและแนวกว้าง คาดหลัง COVID-19 อสังหาฯ ฟื้นตัวแรง ภาครัฐติดเครื่องลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-ระบบสาธารณูปโภค หนุนโอกาสกลุ่มธุรกิจก่อสร้าง
ดร.อรุณ ศิริจานุสรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์ จำกัด หรือ UPM ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า หลังเปิดตัวดำเนินธุรกิจรับบริหารงานโครงการ และบริหารงานก่อสร้าง สานต่อแนวคิด “ORIGIN NEXT LEVEL” สร้างการเติบโตในทุกมิติของเครือพรีโม และออริจิ้นฯ เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตของภาคการก่อสร้างทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ล่าสุด บริษัทได้รับความไว้วางใจให้บริหารงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย และโรงแรมขนาดใหญ่ เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ
ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 เป็นต้นมา บริษัทได้กระจายโอกาสเข้าร่วมประมูลงานออกแบบและควบคุมงานเพิ่ม มากขึ้น พร้อมทั้งเดินหน้าทำการตลาดกับกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย เช่น กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มศูนย์การค้าขนาดกลาง หรือไฮเปอร์มาร์เกต ที่มีการ รีแบรนด์และจำเป็นต้องดำเนินงานก่อสร้างใหม่ ขยายการรับงานทั้งในแนวลึกและแนวกว้าง เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
“แม้ในช่วงต้นไตรมาส 3 จะมีมาตรการปิดแคมป์คนงานภาครัฐในกรุงเทพฯเป็นเวลา 1 เดือน แต่บริษัทยังคงมั่นใจในศักยภาพของตลาดในอนาคต และมีขีดความสามารถที่เพียงพอจะช่วยเร่งรัดงานในมือให้ยังเสร็จสิ้นได้ตามกำหนด ปัจจุบันเรายังคงมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องจากการบริหารโครงการที่ทยอยเข้าไปบริหารเพิ่มเติมตั้งแต่ช่วงปลายปี 63”
ทั้งนี้ ในครึ่งแรกปี 64 บริษัทมีสัญญาบริหารงานโครงการ และบริหารงานก่อสร้างในมือแล้ว จำนวน 16 โครงการ อาทิ นอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง, แฮมป์ตัน ศรีราชา, ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช, Warehouse 22,000 ตร.ม. จำนวน 2 แห่ง บริเวณถนนบางนาตราด กม.19 และ กม.22 โดยมีระยะเวลาควบคุมงานถึงปลายปี 65
“หากสถานการณ์ COVID-19 ผ่านพ้นไป การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของภาครัฐ จะกลับมามีบทบาทเข้มข้นในการขับเคลื่อนประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง ส่งผลให้ภาคเอกชนเองพิจารณาลงทุนก่อสร้างมากขึ้น บริษัทจึงจะเร่งขยายการบริการออกไปสู่ 6 กลุ่มธุรกิจย่อย เพื่อให้ครอบคลุมทุกงานบริการวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจกำกับดูแลการบริหารโครงการ กลุ่มธุรกิจบริหารงานก่อสร้างโครงการ กลุ่มธุรกิจบริหารงานทรัพยากรกายภาพโครงการ กลุ่มธุรกิจกำกับดูแลการออกแบบ กลุ่มธุรกิจกำกับดูแลการตรวจสอบอาคาร และสิ่งแวดล้อม กลุ่มธุรกิจดูแลอบรม สัมมนา และงานวิจัย
ขณะที่สัดส่วนรายได้ จะมาจากโครงการในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ประมาณ 40% ของมูลค่ารายได้ที่พึงได้รับของการดำเนินงาน และจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่นๆ อีกราว 60% เมื่อเติบโตได้ตามแผนงาน บริษัทตั้งเป้าจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ ในช่วงไตรมาส 2/66
ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา