แนวราบสายสีม่วงเฟื่องลลิลโดดชิงประชากรแฝง

16 พ.ย. 2563 378 0

         หลังเกิดการระบาดของโควิด-19 ทำให้ทำเลที่อยู่อาศัยของแนวราบในนนทบุรีเริ่มกลับมาคึกคัก เนื่องจากพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไปจากคอนโดฯ มาเป็นแนวราบมากขึ้น ส่งผลดีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ลลิลลงชิงส่วนแบ่งประชากรแฝง

          นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าโครงการอสังหาฯ แนวราบ ล่าสุดได้พัฒนาโครงการลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ รัตนาธิเบศร์-บางใหญ่ มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท รวม 457 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท และโครงการไลโอ บลิสซ์ วงแหวน-ปิ่นเกล้า (พระราม 5) มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท รวม 283 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท มูลค่ารวม 1,450 ล้านบาทใน จ.นนทบุรี เนื่องจากมองว่าเป็นหนึ่งในทำเลศักยภาพ ระบบคมนาคมสะดวก มีห้างสรรพสินค้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต สถานศึกษา โรงพยาบาล ที่พร้อมรองรับการดำเนินชีวิตของผู้ที่อยู่อาศัยในย่านนี้ ที่สำคัญหลังจากเกิดสถานการณ์โควิด-19 พฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้าเปลี่ยนไป กล่าวคือหันมาให้ความสนใจกับอสังหาฯ แนวราบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ทาวน์โฮม บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว เพราะผู้คนวิตกกังวลในการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพราะใช้ชีวิตในคอนโดฯ มีคนอยู่อาศัยและใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกันเป็นจำนวนมาก รวมทั้งรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปกล่าว คือมีการทำงานที่บ้านมากขึ้น

          จากแนวโน้มอัตราการเติบโตโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้นักพัฒนาอสังหาฯ หลายรายกระโดดเข้ามาเปิดโครงการแนวราบใน จ.นนทบุรี เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น อาทิ เอพี พฤกษา แสนสิริ และแบรนด์อื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นทาวน์โฮม ระดับราคาอยู่ที่ 2-3 ล้านบาท ทำให้ราคาที่ดิน จ.นนทบุรี เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดราคาที่ดินขยับขึ้นมาไร่ละ 5 ล้านบาท เนื่องจากพื้นที่ จ.นนทบุรี มีประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ค่อนข้างมาก เพราะเป็นแหล่งการจ้างงานทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้ามาซื้อคิดเป็นสัดส่วน 40% ส่วนที่เหลืออีก 60% จากมาคนในพื้นที่ โดยคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีจะเป็นจังหวัดที่มีประชากรเลือกอยู่อาศัยสูงที่สุดรองจากกรุงเทพฯ เนื่องจากมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่องโดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชน ทางรถไฟฟ้า และทางรถยนต์ที่จะอำนวยความสะดวกให้กับประชากรในพื้นที่

          “ในปีนี้ บริษัทยังคงเป้ายอดขายอยู่ที่ 6,200 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้อยู่ที่ 5,250 ล้านบาท เนื่องจาก 10 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามแผนที่วางไว้แม้ว่าจะเปิดตัวโครงการเพียงแค่ 7 โครงการ จากที่วางแผนไว้ว่าจะเปิดตัว 9-11 โครงการ แต่ก็สามารถชิงส่วนแบ่งตลาดมาจากคู่แข่งในตลาดได้จากกลยุทธ์ราคา ที่ถูกกว่าคู่แข่งประมาณ 10% รวมทั้งดีไซน์และฟังก์ชัน ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุค New Normal” นายชูรัชฏ์ กล่าว

ที่มา:

คลิกเครื่องหมาย เพื่อเพิ่มลงตะกร้าเก็บทรัพย์ที่สนใจ หรือกดอีกครั้งเพื่อลบออก
คลิกเพื่อเลือก บ้านที่ต้องการแล้วกดปุ่ม "เปรียบเทียบ" ได้เลย