เมเจอร์ฯเลื่อนผุด5โปรเจค อัดโปรหั่นราคา-โละสต็อก
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ หวั่นโควิด เลื่อนเปิด 5 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นล้านเป็นปีหน้า ปีนี้เน้นระบายสต็อกมูลค่า 1.1 หมื่นล้าน
นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ กำลังซื้อและอารมณ์ของผู้บริโภค รวมทั้ง กำลังซื้อจากต่างประเทศ ที่ไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้ออสังหาฯ ในไทยได้เหมือนเคย และไม่รู้ว่าสถานการณ์โควิดจบลงเมื่อไร
ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจึงได้เลื่อนเปิดตัวโครงการแนวสูงจำนวน 3 โครงการ มีทั้งโครงการไฮไรส์ และโลว์ไรส์มูลค่ารวม 9,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบจำนวน 2 โครงการ ที่เป็นระดับซูเปอร์ ลักชัวรี่ จากเดิมที่มีแผนจะเปิดในไตรมาสสี่ปีนี้ หรือไตรมาสแรกปีหน้า รวมทั้งสิ้น 5 โครงการมูลค่า 20,000 ล้านบาท ออกไปเป็นปี 2564
ส่วนแผนการทำตลาดปีนี้ บริษัทเน้นการระบายสต็อกสินค้าที่มีอยู่ทั้งหมด 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสร้างเสร็จพร้อมอยู่ จำนวน 8,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 3,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่ผ่านมาเคยมีสต็อกพร้อมอยู่สูงถึง 10,000 ล้านบาท แต่หลังจากที่มีการปรับแผนการตลาดด้วยการจัดโปรโมชั่น Secret Deal โปรลับ ดีลพิเศษด้วยการ ลดราคาสูงถึง 30% ทำให้ลูกค้า สนใจเข้ามาซื้อจำนวนมากทำให้ ในส่วนช่วงที่ผ่านมาสามารถ ปิดโครงการได้ถึง 5 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 700 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดรับรู้รายได้ในไตรมาสแรกสูงถึง 2,000 ล้านบาท และคาดว่าในไตรมาสสองปีนี้ ยอดขายน่าจะใกล้เคียงหรือดีกว่า
ล่าสุดได้เปิดตัวโครงการบ้าน ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ เป็นครั้งแรก ภายใต้แบรนด์ “มอลตัน” จำนวน 2 โครงการ ใน 2 ทำเลใจกลางเมือง เริ่มจากย่านอารีย์และสุขุมวิท มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,150 ล้านบาท โครงการแรก มอลตัน ไพรเวท เรสซิเดนซ์ อารีย์ พหลโยธิน 8 (ซอยสายลม) เป็นบ้านระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ 5 ชั้น จำนวน 8 ยูนิต ขนาดพื้นที่ดิน 50.1-64.0 ตร.ว. ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 489-526 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 62 ล้านบาท โครงการที่สอง มอลตัน ไพรเวท เรสซิเดนซ์ สุขุมวิท 31 เป็นบ้านระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ 4 ชั้น จำนวน 7 ยูนิต ขนาดพื้นที่ดิน 52.4-72.3 ตร.ว. ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 451-555 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 68 ล้านบาท
“ข้อดี ของตลาดระดับ ซูเปอร์ลักชัวรี่ คือ เป็นตลาดที่ยังมี ดีมานด์ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็น เช่นไรดีมานด์ยังคงมีอยู่แต่ต้องยอมรับว่าวิกฤติครั้งนี้ทำให้คนกลุ่มนี้ใช้เวลาตัดสินใช้ซื้อนานขึ้นกว่าปกติ”
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ