อสังหาชี้ตีโจทย์ไม่แตก วีซ่าต่างชาติ ชงสิทธิซื้อบ้าน ระบายสต็อก-สกัดนอมินี
บุษกร ภู่แส
กรุงเทพธุรกิจ
หลังมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติวีซ่าระยะยาว 10 ปี หนุนกลุ่มคนรายได้สูง พักอาศัยและทำงานในประเทศไทย เป็นที่จับตาว่าจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์จะได้รับอานิสงส์มากน้อยอย่างไร?
มีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตขณะนี้ รัฐบาลโฟกัสกลุ่มที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (High Net Worth Individuals-HNWIs) ให้มาอยู่ประเทศไทย หากพิจารณารายละเอียดจะพบว่า กลุ่มผู้มีความมั่งคั่ง มีฐานะร่ำรวยอยากไปอยู่ประเทศไทยนั้น ไม่ติดอันดับ “1ใน20” ของประเทศที่คนร่ำรวยอยากมาอยู่! ขณะที่ภาครัฐพยายามเปิดเงื่อนไขเจาะกลุ่มเศรษฐีต่างชาติ ซึ่งนโยบายหรือมาตรการต่างๆ ที่ออกมานั้นมองว่า ค่อนข้างผิดฝาผิดตัว !!
ทั้งนี้การดำเนินนโยบายต่างๆ ต้องให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ตลาดเมืองไทยว่าชาวต่างชาติที่มาอยู่เป็นคนกลุ่มไหน จะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนชั้นกลาง มีฐานะปานกลาง อย่างคนต่างชาติที่พักอาศัยในพัทยา หัวหิน เชียงใหม่
“ต่างชาติส่วนใหญ่อยู่ยาวในเมืองไทยเป็นชาวยุโรปวัยเกษียณ ที่อยู่ในระบบภาษี หรือประกันสังคมของประเทศนั้นๆ ซึ่งสามารถดูแลตัวเองได้มาอยู่ประเทศไทย เพราะว่าสภาพอากาศช่วงปลายปีกำลังดีเทียบต่างประเทศเข้าสู่ช่วงอากาศหนาวมากจึงมุ่งหน้ามาสู่ประเทศไทย ประกอบกับมีอาหารการกินอร่อย บริการที่ดี รวมทั้งอาจมาใช้บริการรักษาพยาบาล” ดังนั้นมาตรการออกมาจึงไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายทำให้ได้ประโยชน์ไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลที่ดีกว่านี้ ภาครัฐมีแนวทางดำเนินการได้หลากหลาย เช่น เสนอให้นำที่ดินจัดสรรในสนามกอล์ฟที่มีอยู่ทั่วประเทศที่มีจำนวนมากในหลายจังหวัดและถูกทิ้งรกร้าง หากรัฐเปิดให้ต่างชาติเข้ามาซื้อจะทำให้สามารถดึงเงินเข้ามาในประเทศอย่างเป็นกอบเป็นกำมากขึ้น โดยเปิดให้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน พร้อมกำหนดเงื่อนไขกำกับว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ หรือมีการจำกัดจำนวน เป็นต้น
ปัจจุบันมีกลุ่มคนต่างชาติที่สนใจเข้ามาอยู่เมืองไทย แต่ที่ผ่านมากฎหมายไทยยังไม่เปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้สามารถเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยจึงเกิด “นอมินี” ขึ้น ฉะนั้นหากปิดช่องว่าง โดยเปิดให้มีการซื้อขายอย่างโปร่งใส ถูกต้องตามกฎหมายถือเป็นเรื่องที่ดี รวมถึงการเปิดให้ซื้อโครงการบ้านจัดสรรในพื้นที่ต่างๆ อาทิ พัทยา เชียงใหม่ อุบลราชธานี อุดรธานี ภูเก็ต
“ควรเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาซื้อได้ เพราะปัจจุบันยังมีหน่วยเหลือขาย (สต็อก) อยู่จำนวนมากในตลาด อัตราดูดทรัพย์บ้านจัดสรรก็อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำเป็นประวัติศาสตร์ เมื่อเขามาอยู่เขาต้องจับจ่ายใช้สอยเท่ากับเป็นการกระจายรายได้ให้กับท้องถิ่นนั้นๆ”
สำหรับระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ชาวต่างชาติ นิยมซื้ออยู่ในระดับราคา 5 ล้านบาท ขณะที่ ภาครัฐพยายามดึงกลุ่มระดับบนเข้ามาซึ่ง ไม่ตรงกับกลุ่มคนที่สนใจซื้อ และไม่ชนกับกลุ่มคนไทยที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท
“สิ่งสำคัญ คือ สต็อกบ้านจัดสรร ห้วงเวลานี้เหลือเยอะมาก อัตราการดูดซับแค่ 1% กว่าเท่านั้นถือว่าต่ำมาก !! หรือ บ้าน 100 จะขายได้ 1 หลังต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งไม่นับรวมซัพพลายใหม่ที่เข้าไปเพิ่มอีก”
ฉะนั้น หากมีต่างชาติที่สนใจเข้ามาซื้อและมีสิทธิ์ซื้อได้ จะสามารถช่วยดูดซับซัพพลายที่เหลืออยู่ได้เป็นอย่างดี และเมื่อเห็นว่า สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว รัฐสามารถสั่งเบรก! มาตรการได้ทันทีเหมือนกับประเทศออสเตรเลียที่นำมาตรการนี้มาใช้ดึงเม็ดเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากรัฐต้องการดึงกลุ่มคนต่างชาติที่ร่ำรวยเข้ามาในประเทศ ควรจะโฟกัสเมืองท่องเที่ยวหลัก อย่าง “ภูเก็ต” ซึ่งเป็นเดสทิเนชั่นที่คนทั่วโลกรู้จักในรูปแบบของการเปิดเกาะให้เป็น “อัลตราลักชัวรี ทัวร์ริสซึม” ให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนธุรกิจท่องเที่ยวเจาะลูกค้ากระเป๋าหนัก หรือดึงกลุ่มคนมั่งคั่งระดับสูงนิยมจอดเรือยอช์ทและท่องเที่ยวในภูเก็ต โดยจะต้องมีระบบสาธารณูปโภคต่างๆ รองรับควบคู่กันจะทำให้คนกลุ่มนี้สนใจเมืองไทยมากขึ้น รวมทั้งกลุ่มดาราฮอลลีวูดหรือนักกีฬาที่มีชื่อเสียงระดับโลก
“สมาคมฯ กำลังรวบรวมข้อมูลหลายมิติที่มีความเกี่ยวโยงกันเพื่อให้เห็นโอกาส อุปสรรค และประเด็นที่ต้องเร่งแก้ไข ต่อแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาฯ เพื่อให้มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม ได้ผลจริง เพื่อเกิดรายได้เข้าประเทศ ก่อนนำเสนอต่อหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง”
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ