สิงห์ เอสเตท ปักธง ปี 2567 ทำสถิตินิวไฮต่อ
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท หรือ 'S' กล่าวว่าจากความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่เป็นเลิศ ความสำเร็จของการพัฒนาโครงการอสังหาฯ และ การปรับปรุงประสิทธิภาพของ Portfolio อย่างเข้มข้นส่งผลให้ในปี 2566 บริษัท บันทึกรายได้ในระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งควบคู่กับการคุมต้นทุนต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับช่วงการขยายธุรกิจและเปิดตลาดใหม่ ส่งผลให้รายได้รวมเติบโต 17% สู่ 14,675 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 3,638 ล้านบาท เติบโต ก้าวกระโดดถึง 42% ซึ่งประกอบด้วย 1) ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย 3,416 ล้านบาท 2) การรับรู้ค่าเช่าของโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ตามสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวจำนวน 175 ล้านบาท
ในขณะที่รายได้จากการให้บริการของบริษัท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11% มีสาเหตุสำคัญมาจากรายได้ของธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12% สู่จำนวน 9,701 ล้านมาท ด้วยการปรับแผนการตลาดอย่างมีประสิทธิผล มุ่งเน้นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ
สำหรับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์จำนวน 1,060 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% จากการทยอยรับรู้รายได้ตามการส่งมอบพื้นที่เช่าของอาคารเอส โอเอซิส
จากรายได้ดังกล่าวทำให้ในปี 2566 บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 240 ล้านบาท และสามารถจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จจากการปรับตัวทางธุรกิจ แสดงถึงความสามารถช่วงชิงโอกาสได้ทันกับการฟื้นตัวของธุรกิจที่พักอาศัยและโรงแรม โดยจะจ่ายปันผล 0.015 บาทต่อหุ้น 24 พฤษภาคม 2557 นี้
“บริษัทเห็นสัญญาณการเติบโตของธุรกิจที่ชัดเจนในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงต้นปี 2567 นี้ เราจึงเชื่อมั่นว่าแรงส่งจากการตอบรับที่ดีของตลาดต่อผลิตภัณฑ์ของสิงห์ เอสเตท ผนวกกับพัฒนาการสำคัญต่างๆ ที่เราได้สร้างไว้ในปี 2566 จะเป็นแหล่งรายได้สำคัญให้กับผลประกอบการในปี 2567”
สำหรับรายได้จากการประกอบการในปี 2567 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากประเภทธุรกิจต่างๆ ของบริษัทดังนี้
1.ธุรกิจที่พักอาศัย ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่เร่งตัวขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 ที่ 1,734 ล้านบาท คิดเป็นกว่า 50% ของยอดโอนทั้งปี มีแรงขับเคลื่อนหลักจากการรับรู้ Backlog ของโครงการต่างๆ หนุนด้วยโครงการใหม่ ซึ่งจะเริ่มส่งมอบห้องชุดให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป
2. ธุรกิจโรงแรม ที่ส่งสัญญาณบวกที่แข็งแกร่งในปี 2567 จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับเพิ่มอัตราค่าห้องพักภายหลังการปรับปรุงตามแผน ทำให้ตอบโจทย์กับกระแสนิยมการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี สะท้อนอัตราการเข้าพักในเดือนมกราคมในปี 2567 ของโรงแรมทั้ง 4 แห่งในประเทศไทยสูงถึงกว่า 90% ประกอบกับแผนการปรับปรุงห้องพักทั้งหมดที่ S เตรียมทำเพิ่มในช่วง 2 ปีข้างหน้า จะสามารถผลักดันผลการดำเนินงานด้านธุรกิจโรงแรมให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด รวมทั้งโรงแรมในต่างประเทศ
3. ธุรกิจอาคารสำนักงาน ตอบสนองต่อความต้องการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถรักษาอัตราการปล่อยเช่าพื้นที่ (Occupancy rate) ได้เป็นอย่างดีท่ามกลางภาวการณ์ต่างๆ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอัตราการเช่าพื้นที่ของอาคาร S-OASIS ในปี 2567 นี้จะขับเคลื่อนผลประกอบการของธุรกิจอาคารสำนักงานได้อย่างมั่นคง
4. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม คาดว่ารายได้จากธุรกิจนี้จะเติบโตโดดเด่นในปี 2567 จากกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน สอดคล้องกับความสำเร็จในการพัฒนาที่ดินและระบบสาธารณูปโภค หนุนด้วยความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ นอกจากนี้ การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าทั้งสามแห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกว่า 400 เมกะวัตต์ และจะทำให้บริษัทมีรายได้ประจำจากการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รวม 270 เมกะวัตต์
“บริษัทจะเดินหน้ามุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไรในปี 2567 ผ่านการขยายพอร์ตโฟลิโอ และยกประสิทธิภาพในการทำกำไร เรามีความมั่นใจที่จะทำตามเป้าหมายในการสร้างรายได้ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องอีกครั้งหนึ่งเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยทางการเงินที่ดี” นางฐิติมา กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์ดอกเบี้ยธุรกิจ