สิงห์ฯ ดึงเอเย่นท์100รายช่วยขายคอนโดพร้อมอยู่
“สิงห์ เอสเตท” พลิกแผน รับมือโควิด-19 ดึงเอเย่นท์ 100 ราย ช่วยดึงกลุ่มลูกค้าต่างประเทศซื้อ คอนโดพร้อมอยู่ พร้อมเปิดตัวโครงการลักชัวรี่จับกลุ่มนักลงทุน ตั้งเป้ายอดขาย 70% สิ้นปีนี้
นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์โควิด -19 ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และการทำตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ เนื่องจากลูกค้าต่างชาติไม่สามารถเดินทางมาได้ ดังนั้นบริษัทจึงได้ปรับแผนการทำตลาดด้วยการเปิดโอกาสให้เอเย่นท์ทั้งรายใหญ่และรายย่อยจำนวน 100 ราย เข้ามาช่วยขายคอนโดพร้อมอยู่ในเครือสิงห์ เอสเตท รวมทั้งการนำเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาช่วยให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เพิ่มขึ้น
“หลังจากที่ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมโควิด-19 ได้ดี ทำให้ต่างชาติเริ่มกลับมาสนใจซื้ออสังหาฯในไทย โดยกลุ่มเป้าหมายหลักจะเป็นคนฮ่องกงมากว่าจีน ที่มีกำลังซื้อสูงในระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไป” นายณัฐวุฒิ กล่าวและว่า ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 คอนโดมิเนียม 43 ชั้น
จำนวน 338 ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัทฮ่องกง แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่พัฒนาโครงการในเอเชีย หลายโครงการ
นอกจากนี้ ในปัจจุบันบริษัทได้ปรับลดเป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2563 เหลือ 4,000 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิม ที่ตั้งไว้ที่ระดับ 9,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมียอดโอนกรรมสิทธิ์รวมแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผล กระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ลูกค้าต่างชาติไม่สามารถเดินทาง เข้ามาดูโครงการได้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติประมาณ 40%
สำหรับในปี 2564 บริษัทจะปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยการเน้นพัฒนาโครงการแนวราบ ระดับลักชัวรี่มากขึ้น จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และความต้องการพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน มากขึ้น ซึ่งจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทำให้พฤติกรรมของการซื้อ ที่อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงไป “ลูกค้ามีความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบ มากขึ้น บริษัทจึงเน้นพัฒนาโครงการแนวราบ เพื่อรองรับความต้องการกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่มีกำลังซื้อเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีที่ดินที่รองรับการพัฒนาโครงการแนวราบ แล้วประมาณ 2-3 แปลง โดยจะหันมาลงทุนทำโครงการแนวราบในระดับราคาต่ำกว่า100ล้านบาทภายใต้แบรนด์ใหม่จากเดิมที่ระดับราคา 150 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์สันติบุรี” นายณัฐวุฒิ กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ