ศิริปันนา รีเทิร์นเปิด 3 โรงแรมเชียงใหม่ปักหมุดธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ
เครือศิริปันนา กลับมาเปิดให้บริการบูติก โฮเทล ในเชียงใหม่ครบทั้ง 3 แห่ง รุกไทยเที่ยวไทย ลดพนักงาน 30% คุมค่าใช้จ่ายเพื่ออยู่รอด ทั้งจ่อเดินหน้าลงทุนคอนโดมิเนียม ใจกลางกรุงเทพฯ ลงทุนกว่า 1.3 พันล้านบาท
จากโควิด-19 ส่งผลให้ บูติก โฮเทลส์ ในเครือศิริปันนา รวมกว่า 3 แห่งในจ.เชียงใหม่ ต้องปิดการให้บริการชั่วคราวไปตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ล่าสุดทั้ง 3 โรงแรมได้กลับมาเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2563 ทั้งใช้กลยุทธ์การลดราคา เจาะไทยเที่ยวไทย คุมค่าใช้จ่าย ประคองตัวรอการท่องเที่ยวฟื้น ควบคู่กับมองหาโอกาสในการขยายลงทุนใหม่
นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการเครือศิริปันนา เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันโรงแรมในเครือศิริปันนา จำนวน 3 แห่งที่จ.เชียงใหม่ ได้แก่ โรงแรมศิริปันนา เชียงใหม่, โรงแรมศิริปันนา แกลอรี เชียงใหม่ และโรงแรมเอส ลอฟ เชียงใหม่ ทยอยกลับมาเปิดให้บริการครบทุกแห่งแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งจุดหลักที่ตัดสินใจกลับมาเปิดให้บริการ
เนื่องจากมาตรการการช่วยเหลือผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ของสำนักงานประกันสังคม สำหรับลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในกรณีจ่ายชดเชย 60% ของค่าจ้าง ได้สิ้นสุดลงแล้ว ประกอบกับรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ดังนั้นทางโรงแรมก็มองว่าการกลับมาเปิดให้บริการก็จะทำให้โรงแรมมีกระแสเงินเข้ามา และดูแลพนักงานได้ ทั้งนี้ทางเครือศิริปันนา ได้นำทั้ง 3 โรงแรมเข้าไปร่วมในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่รัฐบาลสนับสนุนค่าห้องพักให้ 40% เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีพอสมควร อย่างไรก็ตามจากการที่ประเทศไทย ยังไม่เปิดรับนักท่องเที่ยว ทำให้โรงแรม ต้องหันมาโฟกัสตลาดคนไทยเป็นหลัก
กลยุทธ์ที่ต้องนำมาใช้ คือ การจัดโปรโมชันลดราคา เพื่อกระตุ้นการเข้าพัก โดยเสนอขายห้องพักในราคาที่ต่ำมาก เช่น โรงแรมศิริปันนา เชียงใหม่ ขายห้องพักเริ่มต้น 1,399 บาทรวมอาหารเช้า ห้องวิลล่า ขายต่อหน้าราคา 2,390 บาทรวมอาหาร ซึ่งตั้งแต่เปิดโรงแรมมากว่า 10 ปี ไม่เคยขายห้องพักต่ำกว่าราคานี้มาก่อน ส่วนโรงแรมศิริปันนา แกลอรี เชียงใหม่ ขายราคาเริ่มต้นที่ 1,399 บาท โรงแรมเอส ลอฟ เชียงใหม่ ขายราคาเริ่มต้น 959 บาท เป็นต้น
ไม่เพียงแต่ลดราคาโรงแรมยังเปิดทางเลือกให้ลูกค้าสามารถเข้ามาใช้บริการได้ภายใน 2 ปีนับจากวันที่โรงแรมกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง
โดยเน้นนำเสนอจุดขายของโรงแรมทั้ง 3 แห่งที่แตกต่างกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีความชอบต่างกัน อย่างโรงแรมศิริปันนา เชียงใหม่ ซึ่งมีจำนวน 74 ห้อง จะเน้นความหรูหราของบูติกโฮเทล สไตล์ล้านนา โรงแรม ศิริปันนา แกลอรี เชียงใหม่ ขนาด 30 ห้อง เน้นกลุ่มคนชอบงานศิลปะ ซึ่งเอกลักษณ์ของโรงแรมจะมีภาพเขียนร่วม 100 รูปจากฝีมือกลุ่มศิลปินภาคเหนือ มาตกแต่งทั่วโรงแรม ส่วนโรงแรมเอส ลอฟ เชียงใหม่ จำนวน 35 ห้อง เน้นลูกค้ากลุ่มที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปี ดีไซน์ก็จะเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ มีฟิตเนส สระว่ายน้ำบริการ
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา เราต้องมีการปรับโครงสร้างบุคลากร เพื่อลดต้นทุน เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่ได้ โดยมีการลดจำนวนพนักงานลงไปราว 30% จากเดิม 150 คน เหลืออยู่ราว 40 กว่าคน รวมถึงการฝึกอบรมพนักงานเพิ่มเติม เช่น ทักษะภาษาจีน เป็นต้น รวมไปถึงการหารือกับสถาบันการเงินเพื่อขอให้พิจารณาลดภาระดอกเบี้ย หรือพักชำระเงินต้น ซึ่งก็ต้องเจรจากันต่อไป
ไม่เพียงแต่เจาะกลุ่มลูกค้าจากนอกเชียงใหม่เท่านั้น เรายังเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าคนเชียงใหม่ โดยจะจัดกิจกรรมสำหรับเด็กและครอบครัว ขึ้นภายในโรงแรม ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ อาทิ กิจกรรมดำนำ สอนทำอาหาร มีมุมอาหาร โดยเปิดขายคูปอง มูลค่า 100 กว่าบาท ให้คนมาร่วมกิจกรรม และนำคูปองไปซื้ออาหาร ภายในพื้นที่จัดกิจกรรม เป็นต้น
เพราะเชียงใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องใช้เวลาในการเดินทาง ไม่เหมือนโรงแรมในเมืองที่อยู่ในโลเกชัน ที่คนไทยขับรถเที่ยวเองได้ จะฟื้นเร็วกว่า ลำพังการทำโปรโมตของผู้ประกอบการในแต่ละโรงแรม ก็คงทำได้เพียงทางออนไลน์ มาร์เก็ตติ้งเป็นหลักเพื่อกระตุ้นไทยเที่ยวไทย เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่สามารถคาดหวังได้เหมือนเดิม ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีน ซึ่งคาดว่าน่าจะพอเห็นภาพในช่วงครึ่งปีหน้า อีกทั้งล่าสุดผมยังมีแผนจะขยายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์มายังกรุงเทพฯเป็นครั้งแรก โดยจะร่วมทุนกับบริษัทก่อสร้างชั้นนำรายหนึ่ง โดยผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ลงทุนคอนโด มิเนียม ภายใต้ชื่อโครงการ “วันเดอร์ เกษตรวิภาวดี” ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับแบบก่อสร้าง ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยจากเดิมวางไว้ว่าจะสร้างเป็นอาคารสูง 38 ชั้น ก็อาจจะปรับเหลือ 8 ชั้น แต่เพิ่มจำนวนห้อง โดยทำห้องพักให้มีขนาดเล็กลง ลงทุนราว 1,300 กว่าล้านบาท
“การที่เรายังตัดสินใจลงทุน เป็นเพราะมองว่าด้วยโลเกชันของโครงการ ที่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง ไม่ถึง 250 เมตร และห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ไม่ถึง 100 เมตร ด้วยโลเกชันที่ดี ยังไงก็มีคนซื้อ แต่ต้องปรับแบบก่อสร้างใหม่ให้สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น” นายศุภมิตร กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ