AMATAV ต่างชาติจ่อซื้อที่ดิน เดินหน้าดีลพันธมิตรร่วมทุน
AMATAV วางเป้ายอดขายที่ดินปี 2565 ยืนเหนือ 50 เฮกเตอร์ ยิ้มรับนิคมเบียนหัว เฟสใหม่เนื้อหอมลูกค้ารุมจีบทำสัญญาซื้อขายกว่า 50% คาดทะลุ 100% ในไตรมาส 2/2565 นี้ ขณะที่โรงงานสำเร็จรูปอยู่ระหว่างขออนุญาตขยายเฟสใหม่รองรับความต้องการ แย้มมองหา JV ทั้งท้องถิ่นและต่างชาติมาเสริมแกร่ง มองกำไรปีนี้โตดีกว่าปีก่อน
นางสมหะทัย พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATAV เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมธุรกิจและอุตสาหกรรมปี 2565 คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ว่านับตั้งแต่ปลายปี 2564 จนถึงปัจจุบันยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 โอไมครอนจะขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยอดผู้เสียชีวิตกลับลดลง ทำให้รัฐบาลเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศมากขึ้น และเริ่มมีเที่ยวบินจากต่างประเทศไปลงยังหัวเมืองหลักๆ เช่น โฮจิมินห์ และฮานอย บ้างแล้ว
นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามยังคงเดินหน้าปูพรมกระจายวัคซีนเข็มที่ 3 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกว่า 47.5% ของประชากรในเวียดนามได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งขณะนี้รัฐบาลเวียดนามกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแจกวัคซีนเข็มที่ 4 ต่อไป โดยหากว่าไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบ รุนแรงอีกก็คาดการณ์ว่าตัวเลข GDP ของประเทศเวียดนามในปี 2565 จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 6.0-6.5% จากปีก่อนที่ประมาณ 2.58% อย่างไรก็ดี เวียดนามเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจในการลงทุนของต่างชาติ ทำให้คาดว่ายังคงมีเม็ดเงินอีกมากที่จะไหลเข้ามาในปีนี้
เป้ายอดขาย 50 เฮกเตอร์
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายยอดขายที่ดินในประเทศเวียดนาม ประกอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ฮาลอง (Halong) ไม่น้อยกว่า 50 เฮกเตอร์ ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน ปัจจุบันยังได้รับความสนใจจากลูกค้าต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้มีลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องการที่ดินขนาดใหญ่ เบื้องต้นคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในปี 2565 นี้แน่นอน, นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ลองทัน (Long Thanh) ในปีนี้จะเน้นไปที่การบริหารยอดขายที่มีในมือ (Backlog) เป็นหลัก
ส่วนนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ เบียนหัว (Bien Hoa) ในปีนี้จะมุ่งเน้นในการพัฒนาและขายโครงการโรงงานสำเร็จรูป (RBF) เป็นหลัก ปัจจุบันยังมี RBF ในมืออีก 25 โรงงาน จากสิ้นปีก่อนที่มีการส่งมอบไปแล้ว จำนวน 8 โรงงาน คิดเป็น 32,453 ตารางเมตร หรือเฉลี่ยราว 20.3 ไร่ อีกทั้งบริษัทก็คาดหวังว่าในปีนี้จะได้รับใบอนุญาตในการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม และ RBF เฟสต่อไป อย่างไรก็ดี ตอนนี้บริษัทมีสัญญาข้อตกลงร่วม (LOI) รอเซ็นสัญญาซื้อขายในมือแล้วกว่า 50% ของพื้นที่ใหม่ที่รอพัฒนา และคาดว่าไม่เกินไตรมาส 2/2565 จะมี LOI เพิ่มเป็นกว่า 100%
“ในปีนี้เรามองว่าสถานการณ์ต่างๆ ในเวียดนามจะคลี่คลายลง การเดินทางเริ่มมีเที่ยวบินมาลงตามหัวเมืองหลักเพิ่มขึ้น แม้ว่ารัฐบาลเวียดนามจะมีความเข้มงวดค่อนข้างมาก แต่นี้คือจุดแข็งของเวียดนาม ที่ผ่านมาเรายังคงได้รับความสนใจจากลูกค้าต่างชาติเข้ามาขอดูที่ดินและทำข้อตกลงร่วมกันหลายราย ปีนี้ก็คาดว่าจะทำสัญญาซื้อขายกันได้คล่องขึ้น รวมถึงใบอนุญาตต่างๆ ที่ติดขัดในช่วงที่ผ่านมาก็คาดว่าภาครัฐจะกลับมาพิจารณาในปีนี้อีกครั้ง สะท้อนต่อแนวโน้มที่ดีของผลการดำเนินงานในปีนี้ และเชื่อว่าผลกำไรปีนี้เองคงมีการเติบโตที่ดีกว่าปีก่อนแน่นอน” นางสมหะทัย กล่าว
หาพันธมิตรร่วมทุน ส่วนความคืบหน้ากิจการร่วมค้า (JV) ที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบนพื้นที่ประมาณ 625 ไร่ในจังหวัดกว๋างนิญ ทางภาคกลางของประเทศเวียดนาม ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 20%, นักลงทุนจากสิงคโปร์ ถือหุ้นในสัดส่วน 60%, และนักลงทุนจากญี่ปุ่นถือหุ้นในสัดส่วน 20% นั้น ปัจจุบันได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการแล้ว อยู่ระหว่างรอรัฐบาลเวียดนามจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงกำหนดสิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งจากจีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่นเข้ามาลงทุน โดยการพัฒนาจะแบ่งออกเป็นคลัสเตอร์
แต่อย่างไรก็ดีด้วยพื้นที่ดังกล่าว อยู่ติดกับชายแดนประเทศจีน ทำให้มองเห็นโอกาสการเติบโตอีกมาก ดังนั้นบริษัทจึงมีความตั้งใจจะพัฒนาพื้นที่เพิ่มเป็น 4,000 ไร่ หรือ 700 เฮกเตอร์ ในอนาคต การจะลงทุนหรือไม่นั้นจากนี้คงต้องรอดูข้อจำกัดและระเบียบต่างๆ ของรัฐท้องถิ่นอีกครั้ง ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมี ความสนใจที่จะร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่มีศักยภาพใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มีที่อยู่ในระหว่างศึกษาและเจรจา 2 ราย มี ทั้งนักลงทุนจากต่างชาติและเป็นนักลงทุนท้องถิ่นในเวียดนาม หากว่าได้ข้อสรุปที่ชัดเจนจะรีบแจ้งรายละเอียดให้ทราบในลำดับต่อไป
Reference: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น