5 แชมป์อสังหาฯไทย ศุภาลัย โค่น LH ฟันกำไร 7 พันล้าน
ปี 2564 นับเป็นปีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ท้าทายอย่างสูง จากมาตรการปิดเมือง-ปิดแคมป์ก่อสร้างครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นผลพ่วงจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดยืดเยื้อยาวนานโดยเครื่องชี้การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ ต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี, ที่อยู่สร้างเสร็จจดทะเบียน ติดลบกว่า 30% ต่ำกว่าสมัยเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ปี 2554 ด้วยซ้ำ ขณะจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ นับเป็นครั้งแรกที่ตลาดคอนโดมิเนียมใจกลาง กทม. ไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ควบไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3 และภาพรวมบ้านและคอนโดฯ ต่ำที่สุดในรอบ 11 ปี สะท้อนความไม่เชื่อมั่นของผู้ประกอบการ
ซึ่งกำลังซื้อที่อ่อนแอตามทิศทางเศรษฐกิจ ยังออกมาในแง่มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ของทั้งปี 2564 ที่มีจำนวนเพียง 802,720 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 -13.5% โดยแนวราบลดลง -11% และคอนโดฯ ลดลง-18.5% การดูดซับหน่วยที่น้อยลง กระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม บ้านจัดสรรที่มียอดขายมากขึ้นและสร้างเสร็จ โอนฯได้เร็วกว่าคอนโดฯ โดยเฉพาะกลุ่มบ้านราคาสูง กลายเป็นส่วนรายได้เติมเต็ม เข้ามาสู่ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ปรับตัวถูกจังหวะ เช่นเดียวกับโปรดักส์กลุ่มคอนโดฯ ในโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ ถูกกระทุ้ง จัดแคมเปญ โละสต๊อกครั้งใหญ่ ทำให้ผู้ประกอบการนั้นๆ ยังคงสร้างการเติบโตทางรายได้และกำไรให้เห็นอย่างน่าสนใจ
‘ศุภาลัย’ โค่น LH
‘ฐานเศรษฐกิจ” รวบรวมผลประกอบการของผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ 5 อันดับแรก ที่ยังคงรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด และผลักดันรายได้ นำไปสู่การเติบโตของกำไรสุทธิสูงสุดในปี 2564 ดังนี้
อันดับ 1 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ. ศุภาลัย ระบุว่า ปี 2564 บริษัททุบสถิติ ทั้งแง่รายได้ และกำไรเกินเป้าที่ตั้งไว้ และสูงที่สุดตั้งแต่ก่อสร้างบริษัทมากว่า 30 ปี โดยผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 66% หรือ 7,070 ล้านบาท รวมถึงรายได้รวมเติบโตแบบก้าวกระโดดสูงสุดเช่นกัน 29,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นรายได้จากการโอนฯบ้านและทาวน์เฮาส์ 51% และอาคารชุด 49% ซึ่งอัตราการเร่งของรายได้ เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จากโครงการคอนโดฯ สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ เช่น ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร, ศุภาลัย ริวา แกรนด์ และศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ เป็นต้น
อันดับ 2 บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH
นายวิทย์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 6,936.12 ล้านบาท ลดลง 2.92% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,144.91 ล้านบาท ขณะรายได้จากการขาย 30,461.25 ล้านบาท กลับเพิ่มขึ้น 10.67% จากปีก่อน ที่มีรายได้รวม 27,524.72 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้เหตุผลว่า กำไรที่ลดลง เป็นผลมาจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง
อันดับ 3 บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP
นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ.เอพี เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทประสบความสำเร็จ ในการดำเนินธุรกิจอย่างมาก ขึ้นแท่นผู้นำอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรม โดยผลงานสถิติการเติบโตทางด้านรายได้ครั้งใหม่สูงสุด 40,015 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 4,543 ล้านบาท โต 7.5% ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของผู้บริโภค ตลอดจนกำลังซื้อที่ยังคงมีอยู่
อันดับ 4 บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า แม้ในปี 2564 จะยังคงมีการแพร่ระบาดของโควิด19 ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศแต่กลุ่มบริษัทก็ยังคงรักษาระดับของกิจกรรมการโอนฯ และความสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 3,193.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,661.89 ล้านบาท และมีรายได้รวมที่ 15,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.4% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 11,114.1 ล้านบาท ขณะโครงการคอนโดฯร่วมทุน กับต่างชาติ 4 โครงการ ได้แก่ โครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง, ไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน, ไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช, และไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน รวมถึงไนท์บริดจ์ สุขุมวิท เทพารักษ์ สร้างคงช่วยผลักดันด้านกำไรอย่างดีอีกด้วย
อันดับ 5 บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH
นางสาวพรภัทร องนิธิวัฒน์ รักษาการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินกลุ่ม บมจ.พฤกษา ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า ผลประกอบการปี 2564 ภาพรวมกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ มีรายได้ 28,041 ล้านบาท ลดลง 1,203 ล้านบาท หรือลดลง 4.1 % โดยเฉพาะรายได้จากคอนโดฯ ที่ลดลงถึง 2,853 ล้านบาท แต่กลับมีรายได้จากบ้านทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 1,136 ล้านบาท บ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 57 ล้านบาท อีกทั้งมีรายได้จากการขายที่ดินเปล่าเข้ามาเติมอีก 457 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ พฤกษาทำได้ 2,352.63 ล้านบาท แม้ลดลง 15.1% แต่อยู่ในกลุ่มทำกำไรสูงสุด ทั้งนี้ ได้ชี้แจงว่า กำไรสุทธิที่ลดลง หลักๆ มาจากต้นทุนกิจการโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันรายได้จากกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ลดลง
Reference: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ