เงินเฟ้อพุ่ง! กูรูชี้ปีหน้า ถือเงินสด เท่ากับ เสียโอกาส
กูรูชี้ปีหน้า “ถือเงินสด” เท่ากับ “เสียโอกาส” นักเศรษฐศาสตร์ “ซีไอเอ็มบี ไทย” ชี้เงินเฟ้อเร่งตัวกระทบเงินในกระเป๋า แนะลงทุนกองทุนรวม-หุ้น กระจายความเสี่ยงไปต่างประเทศ “จีน-ญี่ปุ่น-เวียดนาม” ฟื้นตัวน่าสนใจ พร้อมประเมินราคาอสังหาฯปรับขึ้น-ทองคำไปต่อได้
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ในปีหน้า (2565) การถือครองเงินสดไว้มากๆ จะเป็นการเสียโอกาส เพราะปีหน้าไม่เหมือนช่วงวิกฤตที่เงินเฟ้อติดลบ ราคาทรัพย์สินลดลง ทำให้คนถือเงินสดกันมาก เพื่อรอซื้อของถูก แต่ปีหน้าแม้ว่าไทยอาจจะ ไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ย แต่เงินเฟ้อเร่งแรงขึ้น หลายประเทศเริ่มขึ้นดอกเบี้ยกันแล้ว ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) เริ่มขยับขึ้น และต้นทุนหลายๆ ส่วนเริ่มมา
”คนที่ถือเงินสดจะพลาดโอกาส ดังนั้น อาจจะเลือกลงทุนในกองทุนรวม หุ้น โดยกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปหลายประเทศได้ ซึ่งที่เราดูวันนี้มี 3 ประเทศ ที่เงินเฟ้อยังไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจมีปัญหา ไม่ได้เร่งแรง คือ จีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม”
สำหรับจีนมองว่า จะสามารถควบคุมเงินเฟ้อ ควบคุมค่าครองชีพได้ โดยธนาคารกลางจีนมีการดูแลส่วนนี้อย่างจริงจัง ดังนั้น มองว่าเศรษฐกิจจีนยังโตได้ ขณะที่ญี่ปุ่นที่เจอภาวะเงินฝืดมานาน เงินเฟ้อที่เร่งขึ้น จะช่วยกระตุ้นให้คนจับจ่าย ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นก็ไม่ได้เร่งขึ้นดอกเบี้ย และช่วงนี้กำลังเตรียมมาตรการทางการคลัง หลังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ส่วนเวียดนามก็ยังน่าสนใจ โดยหลังโควิด-19 ไปแล้วเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จะไหลเข้า และเศรษฐกิจเวียดนามพร้อมที่จะเติบโตได้อีกมาก
ดร.อมรเทพกล่าวอีกว่า จากทิศทางแนวโน้มเงินเฟ้อที่จะสูงขึ้นในปีหน้า สินทรัพย์หลายประเภทจะน่าลงทุน ขึ้นด้วย อย่างอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าราคาจะปรับตัวขึ้นไปตามต้นทุนที่พุ่งขึ้น ทั้งราคาเหล็ก ค่าก่อสร้างต่าง ๆ รวมถึงค่าแรงที่มีโอกาสขยับขึ้นด้วย
”ผมว่าธุรกิจนี้จะเริ่มกลับมาน่าสนใจมากขึ้น มองไปข้างหน้า ถ้ามีสัญญาณเชิงบวก เงินเฟ้อมา จะเป็นโอกาสทองของอสังหาฯ เพียงแต่ว่าไม่ได้ทุกส่วน ผมมองว่าแนวราบยังไปได้ ระดับ 5 ล้านบาทขึ้นยังไปได้ ส่วนคอนโดมิเนียม ถ้าราคา 3 ล้านบาทขึ้นไปและอยู่กลางใจเมือง กลุ่มพวกนี้ยังมีดีมานด์ ส่วนดีมานด์จากต่างชาติอาจต้องรอช่วงครึ่งปีหลัง”
อีกสินทรัพย์ที่น่าสนใจก็คือ ทองคำ ที่ราคายังไปต่อได้ โดยหากวันนี้ไม่มีเรื่องคริปโทเคอร์เรนซี แล้วมีการทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ไม่หยุด ราคาทองคำคงพุ่งไป 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์แล้ว ซึ่งการที่คนแห่เข้าไปลงทุนคริปโทฯกันมาก สะท้อนว่า คนไม่เชื่อมั่นในเงินสด ไม่เชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ จึงหันไปถือครองสินทรัพย์อื่น
”ถ้าเป็นเมื่อก่อน คนก็จะเข้าไปลงทุนทองคำกันมาก ตอนนี้เป็นคริปโทฯ แต่ผมยังอยากแนะนำว่าถือทองคำดีกว่า รอบนี้ราคายังไม่ได้ขึ้นแรงเหมือนรอบที่แล้วที่ขึ้นไป 1,900 ดอลลาร์ แต่รอบนี้ยังอยู่แถว 1,800 ดอลลาร์ ซึ่งในปีหน้าก็ยังมีความน่าสนใจที่สามารถเข้าไปลงทุนได้อยู่” ดร.อมรเทพกล่าว
ด้านนายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปีหน้ามีมุมมองต่อการถือเงินสด (cash) เป็นเชิงลบ (negative) เนื่องมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในปีหน้าที่คาดว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้การถือเงินสดไว้ในมือมีความ น่าสนใจลดน้อยลง
”ปีนี้ที่การถือเงินสดไม่ได้เป็นศูนย์ แต่มีการติดลบลงไป ซึ่งมาจากเงินเฟ้อ ยกตัวอย่าง เงินเฟ้อในสหรัฐที่พุ่งขึ้นสูง 6% แปลว่าถ้าถือเงินสดไว้ก็จะติดลบ 6% รวมถึงการที่คาดว่าเงินเฟ้อน่าจะอยู่ไปจนถึงปีหน้า ดังนั้นอะไรที่จะช่วยชดเชยเงินเฟ้อ 6% ได้ ก็หนีไม่พ้นนำเงินไปลงทุนในตลาดทุน (equity) จะน่าสนใจที่สุด เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ” นายนาวินกล่าว
นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือกองทุนบัวหลวง กล่าวว่า ในปีหน้าเงินเฟ้อมีโอกาสเร่งตัวขึ้น และดอกเบี้ยมี แนวโน้มจะปรับขึ้น การถือเงินสดไว้ ในมือจะทำให้กำลังซื้อลดลง และหากเงินเฟ้อไม่ได้เป็นแค่ภาวะชั่วคราวและยังอยู่ในระดับสูง การถือเงินสดไว้ก็จะขาดทุน
”หากย้อนกลับไปในช่วงที่ผ่านมา ตอนที่โควิดระบาดหนัก คนวิตกกังวลจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทำให้คนไม่กล้าที่จะใช้เงินไปลงทุนอะไรมาก แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มที่จะฟื้นตัว ก็ทำให้มุมมองการถือเงินสดนั้นเปลี่ยนไป ซึ่งหากถ้าไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องถือครอง เงินสดไว้ นอกเหนือจากการใช้จ่ายประจำวัน หรือค่าใช้จ่ายรายเดือน การนำเงินไปลงทุนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในช่วงนี้ โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หรือนำเงินไปจัดสรรลงทุนในกองทุนต่างประเทศมากขึ้นในหุ้น เพื่อให้เงินได้ทำงาน ดีกว่าที่จะถือไว้เฉย ๆ” นายพีรพงศ์กล่าว
Reference: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ