โควิดฉุดอสังหาฯไตรมาสแรกฟุบยอดเปิดตัวโครงการใหม่วูบ38%
บริษัทวิจัยแอลพีเอ็นฯประเมินพิษโควิดฉุดภาพรวมเปิดตัวโครงการใหม่ ไตรมาสแรกปี 63 ลด 38% แนวราบแซงคอนโด ปรับคาดการณ์อสังหาฯปี 63 คาดกรณีเลวร้ายสุดเปิดตัวโครงการใหม่ติดลบ 70% เหลือ 3.5-4 หมื่นยูนิต ด้าน REIC เผยราคาที่ดินไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น3% สวนพิษโควิด
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพีนี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในเครือ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากข้อมูลของฝ่ายวิจัยฯ พบว่า ในไตรมาสแรกปี 2563 ซึ่งอยู่ในช่วยสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ภาพรวม บริษัทอสังหาฯ เปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 66 โครงการ ลดลง 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่เปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 86 โครงการ คิดเป็นจำนวน 17,180 ยูนิต ลดลง 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 คิดเป็นมูลค่า 61,950 ล้านบาท ลดลง 27% จากปี 2562 ที่มีมูลค่าเปิดตัวใหม่ 86,359 ล้านบาท
”ไตรมาสแรกปี 2563 เน้นเปิดตัวโครงการในแนวราบเป็นหลัก จึงมีโครงการแนวราบรวม 8,630 ยูนิต เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2562 ส่วนคอนโดมิเนียม ไตรมาสแรกของปี 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 8,512 ยูนิต หรือ ลดลง 56% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2562”
นอกจากนี้ ยังประเมินภาพรวมอสังหาฯทั้งปี 2563 ว่า โควิดจะทำให้การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลลดลง จากเดิมที่คาดว่าจะลดลง 6% มาอยู่ที่ลดลง 30-70% ภายใต้ สมมติฐานการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ 3 แนวทาง ประกอบด้วย
1.สถานการณ์โควิดคลี่คลายใน ไตรมาสสองปี 2563 เศรษฐกิจฟื้นตัวในไตรมาสสามของปี 2563 คาดว่าการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2563 จะอยู่ที่ 70,000-75,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 250,000-270,000 ล้านบาท หรือ 30-35% เมื่อเทียบกับปี 2562
2.สถานการณ์โควิด มีแนวโน้มดีขึ้นในไตรมาสสามของปี 2563 เศรษฐกิจฟื้นตัวในไตรมาสสี่ของปี 2563 คาดว่าการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2563 จะอยู่ที่ 50,000-55,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 175,000-190,000 ล้านบาท หรือลดลง 50-55% เมื่อเทียบกับปี 2562
และ 3.สถานการณ์โควิด ยืดเยื้อไปจนถึงสิ้นปี 2563 คาดว่าในปี 2563 จะมีเปิดการตัวใหม่ 35,000-40,000 ยูนิต คิดเป็น มูลค่า 120,000-135,000 ล้านบาท หรือลดลง 65-70% เมื่อเทียบกับปี 2562
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC เปิดเผยถึง ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในไตรมาส1 ปี2563 พบว่า มีค่าเท่ากับ 293.3 จุด เพิ่มขึ้น 3% เมื่อ เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่มขึ้น 27.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปีก่อน(YoY)
ทั้งนี้ทำเลที่มีราคาเพิ่มมากส่วนใหญ่ ยังคงเป็นพื้นที่ปลายสายรถไฟฟ้าที่เป็นส่วนต่อขยายหรือสายรถไฟฟ้าที่มีแผนจะเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้
สำหรับที่ดินที่มีแนวเส้นทางรถไฟฟ้าผ่านและมีราคาที่ดินเพิ่มสูงสุด 5 อันดับแรก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนได้แก่ 1.โซนรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (คูคต-ลำลูกกา) ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ที่ยังไม่เริ่มก่อสร้างราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 61.3 % เป็นทำเลที่มีการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินมากที่สุดต่อเนื่องมา 4 ไตรมาส
2.โซนรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แครายมีนบุรี) ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างราคาที่ดินเพิ่มขึ้น45.1% 3.โซนรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศาลายา) ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคตราคาที่ดินเพิ่มขึ้น20 %
4.โซนรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางแคพุทธมณฑลสาย4) ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคตราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 15.3% และ5.โซนรถไฟฟ้าสายสีเขียวใต้ (สมุทรปราการ-บางปู) ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคตและสายสีเขียวใต้ (แบริ่ง-สมุทรปราการ) ซึ่งก่อสร้างเสร็จและเปิดให้บริการแล้วราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเท่ากัน11.7%
ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัยจำกัด(มหาชน) กล่าวถึง แผนการซื้อที่ดินพัฒนาโครงการอสังหาฯในปี2563 ที่ตั้งงบประมาณไว้ในช่วงต้นปี 8,000 ล้านบาท ก่อนเกิด โควิด-19 ว่า อยู่ระหว่างทบทวนแผนการซื้อที่ดินให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่เศรษฐกิจยังซึม จึงควรระมัดระวังในการซื้อที่ดิน เพื่อทำให้สภาพคล่องยังมั่นคง ธุรกิจเดินต่อได้”
ด้านนายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทไตรมาส 1 ปี2563 ว่าดีกว่าที่ประมาณการไว้ โดยคาดว่าจะมี ยอดโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดประมาณ 2,900 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาซึ่งทำได้ 3,733 ล้านบาท หรือลดลง 22% และคาดว่าในเดือน เม.ย.จะมียอดโอนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงเดินหน้าตามแผนงานในการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ และจะเพิ่มการพัฒนาสินค้าทั้งโครงการใหม่และในโครงการเดิม รองรับกับพฤติกรรมผู้ซื้อบ้านที่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากสถานการณ์โควิด
ทั้งนี้ คาดว่าสถานการณ์โควิด ที่มีแนวโน้มคลี่คลาย จึงเตรียมเดินหน้าทำการตลาดเต็มรูปแบบอีกครั้งในเดือน พ.ค. ทั้งโครงการแนวราบและคอนโด โดยในส่วนของคอนโด เปิดตัวแคมเปญ “อยู่ฟรีสูงสุด 30 เดือน” บริษัทจะช่วยผ่อนเงินต้นและดอกเบี้ยให้แทนลูกค้าสูงสุด 30 เดือนแรก และมีส่วนลดให้อีกสูงสุด 2 ล้านบาท
ส่วนโครงการแนวราบจะมีแคมเปญ “ปลอดดอก ออกต้น” ด้วยการปลอดดอกเบี้ยนาน 1 ปี มี Cashback เพื่อใช้สำหรับผ่อนเงินต้นอีก 50,000-500,000 บาท ขึ้นกับระดับราคาบ้าน และผ่อนต่ำสุดเพียงล้านละ 1,000 บาทในปีแรก และล้านละ 2,000 บาทในปีที่ 2 ช่วยลดภาระการผ่อนและเกิดความมั่นใจในการซื้อ ที่อยู่อาศัย
Reference: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ