ปั้นโมเดลท่าเรือบกใกล้ แหลมฉบัง ขอนแก่น-โคราช-นครสวรรค์ รอลุ้น
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยถึงแผนพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังว่า ปัจจุบันท่าเรือแหลมฉบัง ขนสินค้าผ่านระบบรางเพียง 7% ของการขนส่งสินค้าทั้งหมด จึงมีเป้าหมายผลักดันให้เพิ่มเป็น 30% เทียบเท่าท่าเรือมาตรฐานสากล นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาท่าเรือบก (DryPort) เพื่อขยายพื้นที่ของท่าเรือในการตรวจสอบสินค้าตู้ คอนเทเนอร์ จัดตั้งศูนย์รับส่งตู้คอนเทเนอร์ ให้การขนส่งสินค้าจากต่างประเทศสามารถเช็กสินค้า เปิดตู้คอนเทเนอร์ ตรวจสอบตามขั้นตอนกรมศุลกากรให้แล้วเสร็จ บริการครอบคลุมเสมือนมีท่าเรืออยู่ในพื้นที่นั้น ๆ ก่อนส่งตู้คอนเทเนอร์ผ่านระบบรางมายังท่าเรือแหลมฉบัง จะสะดวก รวดเร็ว และมากกว่าที่ประมาณการไว้ที่ 18 ล้านตู้ต่อปี
ด้านเรือโทยุทธนา โมกขาว รักษาการแทนผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กล่าวว่า ได้ลงนามความร่วมมือ (เอ็มโอยู) พัฒนาท่าเรือบก กับ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ใน สปป.ลาว เพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้ามายังท่าเรือแหลมฉบัง จะเป็นโอกาสในการขนส่งสินค้าที่จะเกิดขึ้นจากการใช้เส้นทางรถไฟลาว-จีน นอกจากนี้จะพัฒนาท่าเรือบกในพื้นที่ใกล้เคียงท่าเรือแหลมฉบังตามเป้าหมายของ สกพอ. เพื่อขยายพื้นที่บริการท่าเรือ และเพิ่มศักยภาพการขนส่งตู้คอนเทเนอร์ให้สะดวก รวดเร็ว และจำนวน มากขึ้น สอดคล้องกับแผนของ กทท.ที่อยู่ระหว่างศึกษาพัฒนาท่าเรือบก โดยก่อนหน้านี้มีผลการศึกษาคัดเลือกพื้นที่เหมาะสม อาทิ จ.ขอนแก่น นครราชสีมา และ จ.นครสวรรค์
เรือโทยุทธนา กล่าวต่อว่า เดิม กทท. มีแผนพัฒนาท่าเรือบกอยู่แล้ว แต่อีอีซีมองว่าจะเป็นโอกาสอย่างมาก หากหาพื้นที่พัฒนาท่าเรือบกได้ใกล้เคียงกับท่าเรือแหลมฉบัง เพราะถือเป็นการขยายพื้นที่บริการท่าเรือ แต่ยังอยู่ระหว่างการศึกษา หากจะพัฒนาก็ต้องหาพื้นที่ขนาดใหญ่ 500-1,000 ไร่ สำหรับท่าเรือแหลมฉบัง ปัจจุบันมีศักยภาพรองรับตู้สินค้า 11 ล้านทีอียูต่อปี เมื่อพัฒนาท่าเรือ F แล้วเสร็จ จะเพิ่มศักยภาพรับตู้สินค้าเป็น 18 ล้านทีอียูต่อปี แบ่งออกเป็น ท่าเรือ F1 (เฟสแรก) เปิดให้บริการภายในปี 68 รองรับปริมาณการขนส่งได้ประมาณ 2 ล้านทีอียูต่อปี และท่าเทียบเรือ F2 (เฟส 2) จะแล้วเสร็จภายในปี 72 รองรับปริมาณการขนส่งได้เพิ่มเติมอีกราว 2 ล้านทีอียูต่อปี อีกทั้งยังพัฒนาระบบขนส่งทางรางที่จะรองรับขนถ่ายตู้สินค้าสูงสุด 6 ล้านทีอียูต่อปี
Reference: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์