บิวท์แลนด์ฯปรับแผนหันเจาะบ้านไฮเอนด์ลูกค้ามีกำลังซื้อ-ไม่มีปัญหาขออนุมัติสินเชื่อ
อสังหาฯ ปี 64 กำลังซื้อยังหดตัว แบงค์เข้มปล่อยสินเชื่อ ส่งผลยอดปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยระดับกลาง-ล่าง ยังอยู่ระดับสูง ด้าน “บิวท์แลนด์ฯ” ปรับกลยุทธ์หาน่านน้ำใหม่ รุกตลาดบนเจาะโปรดักส์ ทาวน์เฮาส์ 3-5 ล้านบาท บ้านเดี่ยวกลาง-บน 5-10 ล้านบาท และบ้านไฮเอนด์ 40-50 ล้านบาท เร่งเจรจาซื้อที่ดินใหม่ย่านพระราม5 และปทุมธานี ผุดโครงการใหม่
นายชัยรัตน์ ธรรมพีร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กำลังซื้อของลูกค้าที่หดตัวลง ประกอบกับความเข้มงวดในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยรายย่อยของสถาบันการเงิน ส่งผลให้กลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคา 2-3 ล้านบาท มีอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินในระดับที่สูง โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบัน
จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้ในปีนี้ บริษัทมีการปรับแผนการตลาด หันไปเน้นจับกลุ่มที่อยู่อาศัยในตลาดกลางบนเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่ก่อนหน้า ให้น้ำหนักกับกลุ่มที่อยู่อาศัยในตลาดกลางและล่างเป็นหลัก เนื่องจากเป็นกลุ่มตลาดที่มีความต้องการซื้อและมีดีมานด์ขนาดใหญ่ที่สุดในตลาด
โดยในปีนี้ กลุ่มที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮาส์ บิวท์ แลนด์ฯจะขยับขึ้นไปพัฒนาสินค้าในระดับราคา 3-5 ล้านบาท ที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว จะขยับขึ้นไปพัฒนาในระดับราคา 5-10 ล้านบาท และกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ราคาไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อยูนิต
”บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเลือกซื้อที่ดิน 4 แปลง ใน 2 ทำเลที่มีศักยภาพ ได้แก่ พระราม 5 ในจังหวัดนนทบุรี และทำเลย่านปทุมธานี ใกล้กับเมืองทองธานี ทั้งสองทำเลนั้น จะเลือกซื้อเพียงหนึ่งแปลงเพื่อนำมาพัฒนาโครงการใหม่ ทั้งนี้ แปลงที่ดินในทำเลพระราม5 เหมาะในการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท ส่วนแปลงที่ดินในทำเลปทุมธานี เน้นทำโปรดักส์ประเภททาวน์เฮาส์ ราคา 3-5 ล้านบาท”
สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ บริษัทฯ มีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการแล้ว ในทำเลพุทธมณฑล ติดถนนบรมราชชนนี แปลงขนาดเล็กพื้นที่ 2 ไร่เศษ โดยโครงการดังกล่าวจะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ ขนาดพื้นที่ 100 ตารางวาขึ้นไป จำนวน 9 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 40-50 ล้านบาท มูลค่ารวม 300 ล้านบาท มีแผนเปิดขายในช่วงไตรมาสสี่ของปี 64 นี้
”กลุ่มที่อยู่อาศัยระดับบน ลูกค้ามีกำลังซื้อสูงและไม่มีปัญหาในเรื่องของการขออนุมัติสินเชื่อ นอกจากนี้ ในการพัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์ มีผลกำไรที่สูงกว่าการทำตลาดกลุ่มบ้านระดับล่าง ซึ่งต้องอาศัยการทำโครงการในปริมาณที่มาก เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้”
สำหรับในปี 64 นี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายที่อยู่อาศัยรวม 300-350 ล้านบาท เป้าการโอน 200-300 ล้านบาท มาจากโครงการเดิมและโครงการใหม่ที่จะมีการเปิดตัวในปีนี้
Reference: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ