บิวตี้เจมส์สวนกระแสลุยอสังหา ทุ่ม3พันล้านผุดบ้านหรู-คอนโดฯ
กลุ่มบิวตี้เจมส์นำอาณาจักร 8,000 ล้านฝ่าวิกฤตโควิด สวนกระแสช็อปที่ดินย่านสาทร ผุดคอนโดฯหรู ONE Attitude พร้อมลุย 4 โครงการ RG ศาลายา “บ้านหรู” ต่อยอดสนามกอล์ฟรอยัลเจมส์ เจาะกลุ่มลูกค้า ไฮโซ เพชร-พลอยไทยสุดอัดอั้นหลังชัตดาวน์อดทัวร์นอก มั่นใจดันยอดรายได้ธุรกิจอสังหาฯ 3 ปี 1,000 ล้าน
นายสุริยน ศรีอรทัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทบิวตี้เจมส์ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทได้ร่วมลงทุนกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาโครงการด้านอสังหาริมทรัพย์จำนวน 6 โครงการ มูลค่าการลงทุนประมาณ 3,400 ล้านบาท โดยโครงการแรกเป็นการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียม “วัน อัลติจูด (One Altitude)” ที่ถนนจันทน์ เขตพระยาไกร ดำเนินการโดยบริษัทวัน อัลติจูด งบประมาณลงทุนค่าก่อสร้างและที่ดินรวม 1,000 ล้านบาท จากที่ก่อนหน้านี้ได้พัฒนาคอนโดมิเนียมที่ถนนเจริญราษฎร์ไปแล้ว ด้วยเงินลงทุน 400 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังได้ทำ “โครงการ RG Salaya” อีก 4 โครงการ ได้แก่ บาราจิโอ, เดอะ วัน ปาร์ค, วัน ฟอเรสต์ และล็อคโฮม โดยบริษัทเดอะ รอยัล เจมส์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ และบริษัท รอยัลเจมส์ เรียลเอสเตท บริษัทในเครือบิวตี้เจมส์ มูลค่าการลงทุนเบื้องต้นประมาณ 2,000 ล้านบาท ทั้งหมดได้เริ่มก่อสร้างและพรีเซลไปแล้วตั้งแต่ปี 2563 กำหนดจะทยอยเสร็จและรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2564 ไปจนถึงปี 2566 เฉลี่ยปีละประมาณ 300 ล้านบาท
เจาะตลาดลูกค้าร้านเพชร
“ผมมองว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีโอกาสไปได้ ลองคิดดูว่ามีคนไทย 500,000 คนที่เดิมจะต้องบินไปต่างประเทศทุกปี แต่คนไทยกลุ่มนี้บินไม่ได้แล้วหลังจากโควิดระบาด ถ้าสถานการณ์ปกติคนไทยกลุ่มนี้จะจับจ่ายต่อการ ท่องเที่ยวแต่ละครั้งเป็นเงิน 1 ล้านถึง 10 ล้านบาท เมื่อไปไม่ได้แล้วเงินจำนวนนี้จะหมุนเวียนไปที่ไหน ถึงแม้ว่าประเทศต่าง ๆ จะประกาศคลายล็อกเปิดประเทศ แต่เชื่อว่าก็คงยังไม่มีใครกล้าเดินทางออกไปต่างประเทศอยู่ดี ดังนั้น 6 เดือนที่ผ่านมา เรามอง ๆ ดูพบว่า ตลาดนี้มีเงินเหลือ 250,000 ล้านบาท การลงทุนในช่วงจังหวะนี้จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสม เพราะเมื่อเศรษฐกิจฟี้นกลับมาราคาก็จะขยับขึ้น เหมือนหุ้นขาลงก็ซื้อเก็บ จะได้ไม่เสียใจทีหลังที่ไม่รีบลงทุน” นายสุริยนกล่าว
ส่วนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้น เนื่องจากกลุ่มบิวตี้เจมส์มีฐานข้อมูลลูกค้าร้านเพชรเดิมอยู่แล้ว จึงรู้เป้าหมายชัดเจน เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ รู้วิธีว่าจะแอปโพรชกลุ่มเป้าหมายอย่างไร เพียงแค่ต้องขยันมากขึ้น ต้องคุยและให้ดีลที่ดีที่สุดกับลูกค้าด้วย
สำหรับโครงการ One Altitude ก่อสร้างบนพื้นที่ 87.3 ไร่ โดยโครงการนี้เกิดจากส่วนตัวชอบเรื่องที่ดินอยู่แล้ว ประกอบกับเจ้าของที่เดิมตัดสินใจปล่อยขาย จึงได้เจรจารวบรวมซื้อที่ดินบ้านเก่ากลางเมืองก็จะนำมาพัฒนาทำให้ภูมิทัศน์โดยรอบสวยงามขึ้น เป็นโครงการคอนโดมิเนียมขนาด 22 ชั้น 85 ห้อง ขนาดตั้งแต่ 30 ตร.ม.ถึง 259 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 6.5 ล้านบาท เฉลี่ย ตร.ม.ละประมาณ 200,000 บาท ตอนนี้ บริษัทพรีเซลเองและปิดการขายไปแล้วประมาณ 75% หรือ 65 ห้อง การก่อสร้างเริ่มตั้งแต่ต้นปี 2563 คาดว่าจะเสร็จในเดือนมีนาคม 2564
“บ้านหรู” ต่อยอดสนามกอล์ฟ
ขณะที่กลุ่มโครงการ RG Salaya (อาร์จี ศาลายา) ซึ่งตั้งอยู่ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เป็นโครงการที่ต่อยอดจากเดิมที่ทำ สนามกอล์ฟรอยัลเจมส์พื้นที่ 1,400 ไร่ ซึ่งก็ได้มีการซื้อที่ดินเพิ่มเติมด้วย ในโปรเจ็กต์นี้มี 4 โครงการ ได้แก่ 1) บ้าน One Bellagio (วัน เบลลาจิโอ) พื้นที่ 15-4-14 ไร่ ใกล้ถนนบรมราชชนนี จำนวน 10-12 หลัง พื้นที่ใช้สอย ขนาด 416 ตร.ม. และขนาด 1,161 ตร.ม. ราคาหลังละ 30-70 ล้านบาท งบประมาณลงทุนตามแผนงาน 800 ล้านบาท 2) เดอะ วัน พาร์ค คอนโด (The One Park) ทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง เป็นการรีโนเวต โครงการเดิม 84 ห้องธีมรีสอร์ต คอนเทมโพรารี่ ราคาห้องละ 1.9 ล้านบาท งบฯลงทุน 200 ล้านบาท 3) เดอะ วัน ฟอเรสต์ (The One Forest) เป็นบ้านสำหรับคนรุ่นใหม่ จำนวน 40 หลัง พื้นที่ใช้สอย 107.36 ตร.ม. ราคา 4-6 ล้านบาท งบฯลงทุน 300 ล้านบาท และล็อคโฮม 14 หลัง ราคา 27 ล้านบาท งบฯลงทุน 300 ล้านบาท
เขย่าพอร์ต อัพไซซ์อสังหาฯ
ด้านภาพรวมของพอร์ต “กลุ่มบิวตี้เจมส์” ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ไว้ประมาณ 8,000 ล้านบาท “ไม่เติบโต แต่ไม่ขาดทุน” โดยสัดส่วนรายได้หลักยังเป็นธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งมีตลาดทั้งในและต่างประเทศรวม 3,000 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ธุรกิจประกันภัย 2,500 ล้านบาท ยังเติบโตดีจากที่ลูกค้านิยมทำประกันภัยโควิด-19 มากขึ้น, ธุรกิจรีไฟเนอรี่ทองคำ 2,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และที่เกี่ยวข้องถือว่ามีสัดส่วนน้อยที่สุดประมาณ 500 ล้านบาท ทั้งนี้การดำเนินการก่อสร้างอสังหาฯจะเริ่มในปีนี้ และจะทยอยเสร็จใน 3 ปีหรือราวปี 2566 จะรับรู้รายได้เต็ม 100% คาดว่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้กลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ได้ปีละ 300 ล้านบาท
“ในส่วนของธุรกิจอัญมณี ซึ่งเป็นธุรกิจหลักจะส่งออกประมาณ 80% ไปยังตลาดสหรัฐ-สหภาพยุโรป-ญี่ปุ่น ซึ่งปีนี้ต้องยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด เดิมเคยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาช่วยส่วนหนึ่งแต่ปีนี้มาไม่ได้ เราต้องหันมาเน้นบริหารจัดการรายรับรายจ่าย รัดเข็มขัด หาออร์เดอร์มาเสริม เช่น จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ปาร์กเลนไปก่อนหน้านี้ ทำให้มีรายได้เข้ามาเป็นค่าใช้จ่ายคัฟเวอร์ไปถึงสิ้นปีนี้เลย ปลายปีอาจมีผู้ที่ซื้ออัญมณีให้เป็นของขวัญกันช่วงเทศกาล หรือเป็นปีที่เป็นจุดเริ่มต้นที่หลาย ๆ คนจะลงทุนซื้ออัญมณีสะสมไว้ เพราะเป็นช่วงที่จะสามารถหาซื้อชิ้นงานที่ดี ราคาดี จังหวะนี้คนที่พอมีเงินเก็บ ไว้ที่ธนาคาร ดอกเบี้ยไม่คุ้ม ควรซื้ออัญมณีเก็บเป็นสินทรัพย์ อนาคตวิกฤตมาอีกแน่นอน เราก็เคยผ่านวิกฤต ทั้งต้มยำกุ้ง ซับไพรม น้ำท่วม และมาถึงโควิด”
Reference: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ