จี้คุมจีนช้อปบ้าน ห้ามทำธุรกิจแข่ง
อสังหารุกรัฐเร่งออกกฎ เช็กที่มาเงินสกัดทุนเทา ทัวร์ตี๋หมวยแลนดิ้งคึก อัพเป้าเที่ยวไทยพุ่ง8ล.
กลุ่มอสังหาฯแนะรัฐตีกรอบคุมต่างชาติซื้อบ้านเน้นอยู่อาศัยเท่านั้นพร้อมเช็กที่มาเงินช้อป
แนะรัฐแก้กม.ต่างชาติซื้อบ้าน
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ กรณีมีทุนจีนเข้ามากว้านซื้อที่ดิน โรงแรมในพื้นที่ท่องเที่ยวและพื้นที่อุตสาหกรรมในไทย หลังประเทศจีนเปิดประเทศให้ชาวจีนสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้แล้วนั้น นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ยอมรับว่าถ้าการท่องเที่ยวเข้ามาถือเป็นโอกาสในการสร้างรายได้หลักให้กับระบบเศรษฐกิจไทย หากต่างชาติต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยอย่างเดียว ไม่ใช่เพื่อลงทุนหรือทำธุรกิจ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เกิดผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และป้องกันต่างชาติหรือชาวจีนไม่ให้ทำธุรกิจรองรับการท่องเที่ยวแข่งกับคนไทย
จึงมีข้อเสนอ 2 แนวงทาง คือให้ซื้อบ้านเพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น จำกัดการซื้อและซื้อได้เฉพาะโครงการจัดสรรที่ได้อนุญาตจากกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น และแนวทางที่สอง คือต้องมีการป้องกันไม่ให้ซื้อเพื่อทำธุรกิจ เพื่อเป็นการส่งเสริม ควรมีการนิรโทษกรรมสำหรับคนที่ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยให้มาเสียภาษีและขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง จะได้มีฐานข้อมูลว่าคนซื้อเป็นใคร อยู่ที่ไหน ซื้อเพื่ออยู่อาศัยอย่างเดียวหรือไม่ และรัฐบาลต้องมีการแก้กฎหมายหรือออกประกาศกฎกระทรวงออกมา รองรับ โดยเฉพาะการให้ต่างชาติมาซื้อบ้านในโครงการบ้านจัดสรร เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในตลาด
เผยต่างชาติแห่ช้อปไม่เฉพาะจีน
นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า กรณีกลุ่มจีนมาซื้อโรงแรมหรือมาทำธุรกิจแข่งกับคนไทย ถ้าเปิดบริษัทอย่างถูกต้อง ไม่ได้ใช้นอมินีมีคนไทยถือหุ้นเกิน 51% สามารถทำได้อยู่แล้ว ซึ่งภาครัฐต้องมีการตรวจสอบว่า รายชื่อผู้ถือหุ้นถูกต้องหรือไม่ ดูลักษณะของการบริหารงาน ต้องใช้หลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มาดำเนินการ เพื่อตรวจดูเรื่องการครอบงำธุรกิจ ถ้าเป็นผู้ถือหุ้นมีอำนาจในการโหวตต่ำกว่า 50% และมีอำนาจครอบงำในการบริหารจัดการ ต้องดูว่าเป็นลักษณะคล้ายกับเป็นนอมินีแล้วที่ไปจ้างคนไทยมาถือหุ้นส่วนที่เหลือหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากที่จะตรวจสอบ อยู่ที่ภาครัฐจะเอาจริงอาจังแค่ไหน
นายอธิปกล่าวว่า ปัจจุบันมีต่างชาติที่ไม่ใช่เฉพาะจีนที่มาซื้อโรงแรมหรือธุรกิจพูลวิลล่าของไทย ซึ่งคนจีนที่ทำธุรกิจถูกกฎหมายก็มี ไม่ใช่มีเฉพาะกลุ่มทุนสีเทา แต่ก็ถูกเหมารวมกันหมด หลังมีเหตุตู้ห่าวเกิดขึ้น
นายอธิปกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การที่จะมาซื้อที่อยู่อาศัยไม่ว่าบ้านหรือคอนโดมิเนียม ต้องมีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ถ้ามีแหล่งที่มาถูกต้อง มีรายได้จากการทำธุรกิจในประเทศไทย มีการเสียภาษี แสดงว่าเป็นธุรกิจสีขาว แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าเงินมาจากไหน ไม่เสียภาษีหรือเลี่ยงภาษี ถือว่าเข้าข่ายธุรกิจสีเทา
ททท.ทูตจีนต้อนรับทัวร์กรุ๊ปแรก
วันเดียวกัน ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้สัมภาษณ์ระหว่างรอต้อนรับคณะนักท่องเที่ยวชาวจีนมาเที่ยวไทยแบบเป็นกลุ่มกรุ๊ปทัวร์แรกว่า ททท.ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และสายการบินสปริงแอร์ไลน์ จัดพิธีต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนแบบกรุ๊ปทัวร์คณะแรก ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ภายหลังกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนอนุญาตให้บริษัทนำเที่ยวจัดกรุ๊ปทัวร์นำนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางออกเที่ยวต่างประเทศได้ เริ่มต้นนำร่องใน 20 ประเทศ ประเทศไทยเป็น 1 ใน 20 ประเทศดังกล่าว กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนบินตรงจากนครกว่างโจว สู่สนามบินดอนเมือง ด้วยสายการบินสปริงแอร์ไลน์ เที่ยวบิน 9C7419 ความจุผู้โดยสาร 180 ที่นั่ง ประกอบด้วย กรุ๊ปทัวร์จีน 2 คณะ รวมจำนวน 40 คน และนักท่องเที่ยวจีนผู้เดินทางด้วยตัวเอง (เอฟไอที) อีก 90 คน
มอบของที่ระลึกรับกรุ๊ปทัวร์จีน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่กรุ๊ปทัวร์จีนคณะแรกเดินทางถึงสนามบินดอนเมือง นายหยาง ซิน (Mr.Yang Xin) อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยและผู้บริหาร ททท. ร่วมมอบของที่ระลึก พวงมาลัยดอกไม้ และกางเกงลวดลายช้างไทย ที่กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งนี้ ยังมีเที่ยวบินอื่นๆ อีก 13 เที่ยวบิน จากกรุงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู เซียะเหมิน นานกิง และหนานหนิง ทยอยเข้ามายังท่าอากาศยานดอนเมืองสุวรรณภูมิ และภูเก็ต ตลอดทั้งวันด้วย
ทั้งนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ดังกล่าว จะเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยตามโปรแกรมท่องเที่ยว ระยะเวลา 6 วัน เส้นทางท่องเที่ยว กรุงเทพฯ-พัทยา (ชลบุรี)-ระยอง จะเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวไทยสำคัญ อาทิ เกาะเสม็ด สวนนงนุชพัทยา วัดปากน้ำภาษีเจริญ พระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และย่านเยาวราช
เพิ่มเป้าจีนเข้าไทย7-8ล้านคน
นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า หลังจากวันที่ 6 กุมภาพันธ์ มีนักท่องเที่ยวจีนเป็นกรุ๊ปทัวร์เข้ามาเที่ยวไทยแล้ว ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีนับจากการระบาดโควิด-19 นั้น ททท.จึงได้ปรับเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยทั้งปี 2566 ขยับเพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 7-8 ล้านคน จากเดิมวางเป้าหมายไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของจำนวนเที่ยวบินเส้นทางไทย-จีน ทั้งตารางบินฤดูร้อน 2566 และตารางบินฤดูหนาว 2566/2567 รวมถึงตลาดจีนไม่ได้มีฤดูกาลท่องเที่ยวชัดเจนเหมือนตลาดระยะไกล ใช้เวลาทำการบิน 3-6 ชั่วโมงเท่านั้น อีกทั้งไทยก็อยู่ในกลุ่ม 20 ประเทศแรกที่รัฐบาลจีนอนุญาตให้จัดกรุ๊ปทัวร์มาเที่ยวได้ด้วย
นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทย ทั้งสิ้น 99,429 คน โดยตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2566 จำนวนเที่ยวบินและที่นั่ง จากท่าอากาศยานในเมืองต่างๆ ของจีนมายังประเทศไทย อาทิ เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว หางโจว หนานจิง เฉิงตู เซียะเหมิน คุนหมิง เป็นต้น รวมทั้งสิ้น 2,000 เที่ยวบิน จำนวน 445,655 ที่นั่ง คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยในไตรมาสแรก (เดือนมกราคม-มีนาคม 2566) จำนวน 300,000 คน ส่วนกลุ่มชาวจีนที่เข้าไทยในช่วงแรก ประกอบด้วย นักธุรกิจ นักเรียน และกลุ่มนักท่องเที่ยวคนรุ่นใหม่ที่นิยมเดินทางด้วยตนเอง (เอฟไอที) เป็นหลัก และเมื่อรวมเดือนมกราคม รวมนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามากว่า 2 ล้านคน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยปี 2562 นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยเกือบ 40 ล้านคน เฉลี่ยเดือนละกว่า 3 ล้านคน สะท้อนว่านักท่องเที่ยวต่างชาติตลาดอื่นๆ ที่ไม่ใช่ชาวจีน กลับมาเที่ยวไทยกันหมดแล้ว หรือฟื้นตัวใกล้เคียง 80-90% เมื่อเทียบกับภาวะปกติ
สร้างรายได้รวม2.38ล้านล้าน
นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า ส่วนตลาดจีนแม้ยังไม่กลับมาเต็มที่ แต่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี ต้องจับตาแนวโน้มการฟื้นตัวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ มีนาคมนี้ เป็นต้นไป จากคาดการณ์แนวโน้มการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน 7-8 ล้านคนในปีนี้ ทำให้ภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้มีแนวโน้มใกล้เคียง 30 ล้านคน ในกรณีดีที่สุด สามารถสร้างรายได้รวมจากทั้งตลาดในและต่างประเทศ 2.38 ล้านล้านบาท ฟื้นตัว 80% ของรายได้รวมเทียบกับปี 2562
นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า จากข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยตลอดเดือนมกราคม 2566 พบว่า มีจำนวน 2,088,832 คน นักท่องเที่ยวมาเลเซียมากเป็นอันดับ 1 จำนวน 257,684 คน อันดับ 2 รัสเซีย 202,642 คน อันดับ 3 เกาหลีใต้ 168,605 คน อันดับ 4 อินเดีย 101,343 คน และอันดับ 5 จีน 91,080 คน จะเห็นว่าจีนพุ่งขึ้นมาติด 5 อันดับแรก หลังจากรัฐบาลจีนเปิดประเทศ ยกเลิกมาตรการกักตัวขาเข้า มีผลตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (เอฟไอที) เดินทางเข้าไทยมากขึ้น แม้ยังไม่มีกรุ๊ปทัวร์ชาวจีนเดินทางเข้ามาช่วยสนับสนุนก็ตาม
บินจีนจองลงไทยเต็มสล็อต
“หลังจากรัฐบาลจีนประกาศอนุญาตให้บริษัทนำเที่ยวจัดกรุ๊ปทัวร์ชาวจีนออกเที่ยวต่างประเทศได้ ทำให้ปัจจุบันเห็นสายการบินต่างๆ ได้เร่งเพิ่มเที่ยวบินเส้นทางระหว่างไทย-จีน จากเดิมค่อนข้างมีจำกัด ในช่วงตารางบินฤดูร้อน 2566 (ตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ถึงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม) สายการบินฝั่งจีนได้ขอคืนสล็อต (Slot) หรือเวลาทำการบินไปทั้งหมดแล้ว ซึ่งการขออนุญาตกลับมาทำการบินเส้นทางไทย-จีน ทางสายการบินต้องขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐของทั้ง 2 ประเทศ จึงต้องไม่ลืมว่าจีนเพิ่งเปิดประเทศ ยังมีมาตรการควบคุมโควิดอยู่ โดยกำหนดให้ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ก่อนเดินทางกลับเข้าประเทศจีน เป็นเวลา 48 ชั่วโมง ทำให้รัฐบาลจีนน่าจะดูว่า เมื่อผ่อนคลายให้ชาวจีนออกไปเที่ยวต่างประเทศแล้ว จะส่งผลกระทบต่อการระบาด โควิดเพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีการระบาดซ้ำหรือสามารถควบคุมได้ คาดว่าน่าจะมีการอนุมัติให้สายการบินเพิ่มเที่ยวบินได้มากขึ้นอีก” นายยุทธศักดิ์กล่าว
’อนุทิน’ ปลื้มทัวร์จีนช่วยฟ้นศก.
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวหลังจากนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินมาประเทศไทย ว่า “ดี ขนาดยังเป็นแค่ชุดเล็กมา เศรษฐกิจฟื้น มีรายได้เพิ่มขึ้น การจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ธุรกิจบริการดีขึ้น แม้แต่หาบเร่แผงลอย ไม่ได้เฉพาะใน กทม. ในสถานที่ท่องเที่ยวต่างจังหวัดมีความคึกคัก ชาวบ้านมีความสุข ดีใจที่ได้มีส่วนร่วมทำให้สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้น”
ผู้สื่อถามว่า การประเมินด้านสาธารณสุข ถือว่าไทยยังรับมือได้ใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ยังดีอยู่ ได้รับรายงานจากปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีกรมควบคุมโรค ว่าตั้งแต่เปิดประเทศเต็มรูปแบบมาเมื่อเดือน ต.ค.65 จนถึงต้นปีนี้ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวจากจีน อัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 มีแนวโน้มลดลงเป็นลำดับ แต่คิดว่าอย่าไปดูตรงนั้นมาก สิ่งที่จะต้องฝากกันคือ ขอให้ฉีดวัคซีน เพราะมีการศึกษาแล้วว่า ฉีด 4-5 เข็มจะปลอดภัย 100% จะไม่ป่วยหนัก จะไม่เสียชีวิต
จีนเที่ยวไทยดันค้าปลีกขายคึกคัก
นายญณน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ซีอาร์ซี เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกไทยปี 2566 คาดว่าจะเติบโตที่ 6-8% หากจีดีพีประเทศเติบโตได้ 3% จากกำลังซื้อในประเทศเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/2565 ต่อเนื่องถึงปีนี้ บวกกับการการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่เริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะตลาดชาวจีน ซึ่งจะเห็นว่าในกลุ่มธุรกิจการให้บริการ อาทิ ร้านอาหาร โรงแรมต่างๆ กลับมามีความคึกคักกว่าเดิม รวมถึงมีการปรับปรุงใหม่เพื่อเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นด้วย
’อาคม’ เชื่อ’ ดีเซล’ ลดลงอีก
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยกรณีสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีมติลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร ส่งผลให้ราคาลดลงเหลือ 34.50 บาทต่อลิตร จากที่เคยปรารภว่าอยากให้ลดลง 2 บาทต่อลิตร ว่าเข้าใจว่ากองทุนน้ำมันยังคงต้องเก็บเงินเข้ากองทุน ถือว่ายังจำเป็นอยู่ หลังจากนี้ถ้าสถานะกองทุนปรับตัวได้กระทรวงพลังงานคงจะทยอยลดราคาน้ำมันดีเซลลงให้อีก
”ขณะนี้ราคาน้ำมันก็ค่อนข้างทรงตัวในระดับราคาที่ลดลง ส่วนภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอยก็เริ่มเห็นแล้ว เพราะฉะนั้น เรื่องของความต้องการใช้น้ำมันก็น่าจะลดลง ทำให้ราคาน้ำมันโลกลดลง ธุรกิจโลจิสติกส์ก็น่าจะปรับตัวได้ ตอนนี้อาจจะเป็นช่วงที่กองทุนต้องแบกภาระอยู่ แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลายมากขึ้น” นายอาคมกล่าว
นายอาคมกล่าวว่า อีกเรื่องหนึ่งขณะนี้การใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้น การใช้เคมีผลิตปุ๋ยก็ลดลง ทำให้ราคาการผลิตถูกลง ตัวอย่างประเทศในทวีปยุโรป เมื่อเจอกับวิกฤตน้ำมันก็สามารถปรับตัวมาใช้พลังงานทดแทน ได้ 18% ของพลังงานในประเทศยุโรป จึงทำให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ขณะที่ไทยเองหลายคนอาจจะคิดว่าเดี๋ยวราคาน้ำมันก็ลง แต่เรื่องของการพัฒนาและเปลี่ยนพลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นก็ยังจำเป็น
จูงใจเอกชนจ้างงานคนสูงวัย
นายอาคมยังกล่าวถึงสภาพการณ์ประเทศไทยว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุแล้ว มีสัดส่วนของประชากรสูงอายุมากกว่า 10% ของประชากรทั้งประเทศ ตั้งแต่ปี 2548 และปัจจุบันมีประชากรสูงอายุราว 12.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 19% ของประชากรทั้งประเทศ ขณะที่อัตราการเกิดลดลง ประกอบกับประชากรมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนของประชากรสูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ คือมีสัดส่วนของประชากรสูงอายุมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมดในอีก 1-2 ปีข้างหน้า และจะเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด หรือมีประชากรสูงอายุมากกว่า 28% ในปี 2577 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไทยดังกล่าวส่งผลให้มีประชากรอยู่ในภาวะพึ่งพิงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในอนาคตจะต้องมีมาตรการมาสนับสนุน การจ้างงานผู้สูงอายุ เช่น กระทรวงการคลังจะมีการใช้มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนให้ภาคเอกชนจ้างงานผู้สูงอายุมากขึ้น เป็นต้น
”เราคงไม่ได้จ้างผู้สูงอายุไปแบกหาม แต่จะเป็นการจ้างงานในฐานะที่มีประสบการณ์มาเป็นผู้สอนงาน เป็นต้น ขณะนี้ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ก็มีการจ้างงานผู้สูงอายุในอาชีพต่างๆ เป็นต้น และในต่างประเทศก็มีการขยายอายุการเกษียณผู้สูงอายุเป็น 65-70 ปีแล้ว” นายอาคมกล่าว
เงินเฟ้อม.ค.5%ต่ำสุดรอบ9เดือน
นายวิชานัน นิวาตจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เงินเฟ้อเดือนมกราคม 2566 เท่ากับ 108.18 สูงขึ้น 5.02 % ชะลอตัวจากเดือนธันวาคม 2565 ที่สูงขึ้น 5.89 % และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ตามการชะลอตัวของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานและอาหาร ขณะที่อุปสงค์ในประเทศปรับตัวดีขึ้นจากภาคการท่องเที่ยว เทศกาลปีใหม่ และตรุษจีน ส่งผลให้การใช้จ่ายคึกคักกว่าปีที่ผ่านมา
นายวิชานันกล่าวว่า ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออกจะสูงขึ้น 3.04% ชะลอตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่สูงขึ้น 3.23% ตามต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูง
”อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น 5.02% เป็นการสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวของสินค้าในหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 3.18% ตามราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นทุกประเภท ค่าไฟฟ้า และก๊าซหุงต้ม รวมทั้งค่าโดยสารสาธารณะ และหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 7.70% โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป เช่น กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง ข้าวกล่อง อาหารเช้า ผักและผลไม้สด เช่น ต้นหอม มะเขือ ผักบุ้ง แตงโม ส้มเขียวหวาน มะม่วง ข้าวสาร และไข่ไก่ สาเหตุสำคัญยังคงเป็นต้นทุนที่อยู่ระดับสูง และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลและวันหยุดยาว ตามสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยที่ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ” นายวิชานันกล่าว และว่า สำหรับสินค้าที่ราคาลดลง อาทิ เนื้อสุกร จากปริมาณที่มีเพียงพอต่อความต้องการ ผักสดและผลไม้บางชนิด เช่น ขิง ถั่วฝักยาว พริกสด แครอต ทุเรียน
คาดทั้งปี‘66เงินเฟ้อโต2-3%
นายวิชานัน กล่าวถึงแนวโน้มเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์นี้ คาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่ลดลง ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อขยายตัวยังคงเป็นราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า และก๊าซหุงต้ม ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเงินเฟ้อ และราคาสินค้าในกลุ่มอาหารที่ปรับสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่ง และค่าจ้างแรงงาน ประกอบกับอุปสงค์ในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นจากภาคการท่องเที่ยว และนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งจะทำให้ความต้องการบริโภคโดยรวมและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชะลอตัว และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าของไทยลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่กดดันให้อัตราเงินเฟ้อของไทยไม่สูงมากนัก ดังนั้นจึงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2566 อยู่ระหว่าง 2.0-3.0% ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจของไทย และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการทบทวนอีกครั้ง
นายวิชานันกล่าวว่า สำหรับเงินเฟ้อไทยเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุด ณ เดือน ธ.ค.2565 พบว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับที่ดีกว่าหลายเขตเศรษฐกิจ อาทิ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร อิตาลี และเม็กซิโก รวมถึงประเทศในอาเซียน ลาว ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ โดยเงินเฟ้อไทยต่ำเป็นอันดับที่ 32 จาก 129 เขตเศรษฐกิจที่มีการประกาศตัวเลข ส่วนอัตราเงินเฟ้อไทยเฉลี่ยทั้งปี 2565 สูงขึ้น 6.08% ต่ำเป็นอันดับที่ 33 จาก 129 เขตเศรษฐกิจที่มีการประกาศตัวเลข
ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคพุ่งรอบ44ด.
นายวิชานันกล่าวถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือนมกราคม 2566 ว่า ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51.3 จากระดับ 50.4 ในเดือนก่อนหน้า อยู่ในช่วงความเชื่อมันต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และอยู่ระดับสูงสุดในรอบ 44 เดือน เป็นการปรับเพิ่มขึ้นทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) อยู่ในระดับที่มีความเชื่อมั่น คือยังสูงกว่าระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 15 สาเหตุของการปรับเพิ่มขึ้นมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ภายในประเทศ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่มีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ และการเปิดประเทศของจีน ประกอบกับมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ รวมถึงราคาสินค้าเกษตรสำคัญอยู่ในเกณฑ์ดี ส่งผลให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจสูงขึ้น ขณะที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและน้ำมันเชื้อเพลิงชะลอตัวลง จะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
’หอค้า’ ชี้เงินบาทเริ่มอ่อนแล้ว
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทขณะนี้เริ่มอ่อนค่าลง โดยเช้านี้เงินบาทเปิดระดับ 33.55 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ที่ผ่านมามองว่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเป็นเพียงการเคลื่อนไหวระยะสั้น เนื่องจากปัจจัยภายนอกอย่างธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แม้ลดขนาดอัตราในการขึ้นดอกเบี้ยลง แต่ยังคงมีทิศทางขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง การประชุมเฟดวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ทำให้เงินเหรียญสหรัฐทยอยแข็งค่าขึ้นส่งผลให้เงินบาทอ่อนลงอย่างชัดเจน โดยระยะต่อไปคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่ระดับ 4.75-5.25% เพราะเงินเฟ้อสหรัฐอยู่ที่ระดับ 6.5% ยังอยู่กรอบบนของเป้าหมายที่ 2% โดยที่เฟดต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพื่อกดเงินเฟ้อให้ลงตามเป้าหมายให้ได้
ดังนั้น ในช่วงระหว่างนี้จึงจะได้เห็นเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงแล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ค่าเงินยังเกิดความผันผวน เพราะปัจจัยหลักเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยเฟดยังคงมี อีกทั้งธนาคารกลางหลักอื่นๆ ก็ขึ้นดอกเบี้ยเช่นกัน ดังนั้น เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยง เงินบาทยังเคลื่อนไหวไม่นิ่ง และมองว่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 33-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐได้ในระยะนี้
Reference: หนังสือพิมพ์มติชน