LH ไร้ผลกระทบโควิด-19 ปั๊มรายได้ปีนี้ 3.3 หมื่นล้าน
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ (สายสนับสนุน) บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย (Presale) ไว้ที่ 28,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนเปิดขายโครงการใหม่ในปี 2563 จำนวนรวม 16 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,440 ล้านบาท โดย ในช่วงไตรมาส 2/2563 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 6,140 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการ สีวลี 3 อยุธยา เป็นโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 70 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 6.43 บาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท
2.โครงการ สีวลี ศรีนครินทร์ ร่มเกล้า เป็นโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 260 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 7.70 บาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท 3.โครงการ สีวลี รัษฎา ภูเก็ต เป็นโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 204 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 13.43 บาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 2,740 ล้านบาท และ 4.โครงการ สีวลี เพชรเกษม 69 เป็นโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 82 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 11.59 บาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 950 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายและแผนการดำเนินงานในปี 2563 ในขณะนี้ไว้ตามแผนเดิม โดยในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมจะอยู่ที่ 33,300 ล้านบาท ซึ่ง ณ สิ้นปี 2562 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ารวมประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมพร้อมขายและพร้อมโอน (สต๊อก) มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับตัวและรับมือให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในช่วงนั้น ๆ ขณะที่ในช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ. 2563) บริษัทยังสามารถทำผลงานได้ตามที่ประเมินไว้ แต่ในช่วงเดือนมีนาคม 2563 เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัว เนื่องจากสถานการณ์ไม่เอื้อต่อการเดินทาง อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ด้วยการคัดกรองที่ดี ทั้งตรวจวัดอุณหภูมิ ใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ เป็นต้น
“การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีผลกระทบกับเราในทางอ้อมมากกว่า เช่น ในแง่บรรยากาศการเดินทางมาดูโครงการก่อนตัดสินใจซื้อ ผลกระทบทางตรงเราไม่ได้รับผลกระทบอะไร ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนทั่วไปลดลง และในระยะเวลาสั้น ๆ จะกระทบต่อประชาชนในระดับรากหญ้า ซึ่งบริษัทไม่มีลูกค้าในกลุ่มนี้เลย โดยลูกค้าของบริษัทเป็นกลุ่มประชาชนที่มีเงินอยู่แล้ว และเป็นลูกค้าในกลุ่มมีความต้องการอยู่จริง (Real Demand)” นายอดิศร กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น