3บิ๊กทุนต่างชาติทุ่ม1.5หมื่นล้านปักหมุดอสังหาฯ

22 พ.ย. 2563 385 0

          กรุงเทพฯ-ภูเก็ต-เกาะช้างเนื้อหอม

          3 กลุ่มกองทุนอสังหาฯไพรเวทฟันด์ต่างชาติ ไม่หวั่นโควิด-19 พลิกวิกฤติเป็นโอกาสเดินหน้าลงทุนในไทย มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.58 หมื่นล้านบาท ปักหมุด 3 ทำเล รุกธุรกิจเรสซิเด้นท์ อพาร์ตเมนต์ โรงแรมหรู ด้านศบศ.ไฟเขียวดันสมาชิกอีลิทการ์ด ลงทุนซื้ออสังหาฯ-ลงทุนในไทย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐยื่นขอ Work permit ได้กระตุ้นเศรษฐกิจ

          แม้ธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ของไทยจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 ส่งผลให้มีโรงแรมแห่เสนอขายรวมกว่า 100 แห่ง ยอดขายอสังหาฯในภาพรวมหดตัว แต่ปัจจุบัน “ฐานเศรษฐกิจ” พบว่ามีกลุ่มกองทุนและไพรเวท ฟันด์ จากต่างประเทศ 3 กลุ่มใหญ่เข้ามาลงทุนโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ในไทย

          ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทุนอสังหาฯรายใหญ่จากภูมิภาคเอเชีย รวมถึงสหรัฐอเมริกาหลักๆใน3 โลเคชั่น ที่มีการประกาศเดินหน้าเข้ามาลงทุนในไทยแล้ว คือกรุงเทพ, ภูเก็ต,เกาะช้างรวมมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1.58 หมื่นล้านบาท

          กลุ่มที่1คือนอร์คอล เวนเจอร์ แคปิทัล กรุ๊ป ((Norcal Venture Capital Group Limited: NVC) ซึ่งเป็นไพรเวท ฟันด์ จากฮ่องกงที่เข้ามา ลงทุนโครงการ “อควาเรียส เรสซิเดนเซส แอนด์ รีสอร์ท“ที่เกาะช้าง ภายใต้การลงทุนของอะควาเรียส อินเตอร์เนชั่นแนล ฮอสพิทอลลิตี้ ดีเวลลอปเมนท์ (AQI) ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ

          นายเอ็ดเวิร์ด ค็อกหว่าฉี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นอร์คอล เวนเจอร์ แคปิทัล กรุ๊ป (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าการตัดสินใจลงทุนกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8 พันล้านบาท)ในโครงการดังกล่าวท่ามกลางโควิด-19 เรามองว่ามองว่าไม่ใช่การลงทุนที่มีความเสี่ยง เรามีประสบการณ์จากวิกฤตเอเชียก่อนหน้านี้และสถานการณ์ปัจจุบัน ความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโควิด -19 ได้รับผลกระทบไปทั่วโลกไม่ใช่ภูมิภาคเดียวหรือในประเทศ

          ดังนั้นเราจึงลองใช้วิกฤติครั้งนี้ในการเปลี่ยนความเสี่ยงให้กลายเป็นโอกาส ด้วยการสนับสนุนทางการเงินที่แข็งแกร่งจากสำนักงานใหญ่และพันธมิตรของเรา การลงทุนกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในพื้นที่กว่า 145 ไร่บนเกาะช้าง จะมี 3 เฟส ได้แก่ ลักชัวรี พูลวิลล่า 23 หลัง, คอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ 99 ห้อง และโรงแรม 5 ดาว ชื่อ เดอะเจดีย์ อควาเรียส เกาะช้าง 200 ห้อง ที่จะเปิดตัวทั้ง 3 เฟสได้ในปี2565

          “เรามองกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากการเปลี่ยนแปลงในทวีปยุโรปของเศรษฐกิจโลก (World Bank และ IMP) มาสู่เอเชีย เราคาดว่า ชาวเอเชียจำนวนมากขึ้นและชาวต่างชาติจะย้ายฐานการผลิตและที่ทำงานมายังเอเชีย ไทยเป็นประเทศที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ในเอเชีย และจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเนื่องจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น EEC) จะดีขึ้นทั่วประเทศ”

          กลุ่มที่2 คือ บริษัทเอเชีย แคปปิตอล เรียล เอสเตท และบริษัทนูน โฮม่า ได้ร่วมทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบอพาร์ตเมนต์ให้เช่าระยะยาว ภายใต้แบรนด์โฮม่า เพื่อเข้ามาบุกเบิกตลาดที่พักอาศัยแบบเช่าระยะยาวในไทย โดยมีแผนจะลงทุนราว 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7,817 ล้านบาท)ในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อพัฒนาโครงการโฮม่าทั้ง 6 แห่งในไทย เพื่อเจาะกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ นักเดินทางเพื่อการพักผ่อน นักธุรกิจ ฟรีแลนซ์ ยุคดิจิทัลและชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยและทำงานในไทย รวมถึงกลุ่มที่เริ่มสร้างครอบครัวที่กำลังหาที่พักช่วงวันหยุด

          โดยปัจจุบันมีการเปิดตัวการลงทุนแล้ว 2 โครงการแรกแล้วในจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ โฮม่า ภูเก็ต ทาวน์ จะเปิดให้บริการไตรมาสที่3 ปี2564 มีห้องพักจำนวน 505 ยูนิต และโฮม่า เชิงทะเล มีแผนเปิดให้บริการในปี2565 ขนาด 422 ยูนิต

          กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในเอเชีย “แคปิตาแลนด์” ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสิงคโปร์ จนถึงปัจจุบันมีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทยรวม 23 แห่ง ก็ยังผลักดันบริษัทย่อย อย่าง “แอส คอทท์” เข้ามาบุกเบิกเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ระดับสากล ซึ่งมีแบรนด์โรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ หลายแบรนด์ อาทิ แอสคอทท์,ซัมเมอร์เซ็ท,ไลฟ์ เข้ามาเปิดธุรกิจเซอร์วิสเรสซิเด้นซ์แห่งใหม่ในไทย

          โดยจะมีการเปิดตัว อีก 5 โครงการในช่วง 3 ปีนี้ ได้แก่ซัมเมอร์เซ็ทเมอร์เรท พระราม9 ที่จะเปิดตัวในปีนี้ แอสคอทท์ แอมบาสซี่ สาธร บางกอก และแอสคอทท์ สุขุมวิท ทองหล่อ ในปีหน้า และซัมเมอร์เซ็ทบลูโค้สท์ พัทยาในปี65

          นอกจากจากเข้ามาลงทุนปักหมุดธุรกิจในไทยแล้ว จากโควิด-19 ก็จะเห็นทิศทางของกลุ่มกองทุนอสังหาฯและไพเวท ฟันด์ จากต่างประเทศ มองโอกาสในการจับมือกับกลุ่มทุนรายใหญ่ในไทย จัดตั้งกองทุนเข้ามาซื้อโรงแรมในไทย เพื่อนำมาฟิ้นฟูกิจการและขายทำกำไรอีกด้วยทั้งที่เข้ามาแล้วอย่างเดซติเนชั่น แคปปิตอล และการจัดตั้งกองทุนหลักหมื่นล้านบาท ของบริษัทแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือAWC ของเจ้าสัวเจริญ ที่อยู่ระหว่างหารือร่วมกับไพรเวท ฟันด์ และสถาบันการเงินเพื่อจัดตั้งกองทุนดังกล่าว

          ทั้งล่าสุดคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) (ศบศ.) เห็นชอบการกระตุ้นเศรษฐกิจดึงให้คนต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาฯในไทย เน้นกลุ่มสมาชิกบัตรไทยแลนด์อีลิทการ์ด (สมาชิกที่มีมูลค่าบัตรมากกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไปและอายุบัตรตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป) ถ้าลงทุนมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในเวลา 1 ปีทั้งซื้ออสังหาฯ,ลงทุนในบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชน, ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ สามารถยื่นขอWork permit ในไทยได้

ที่มา:

คลิกเครื่องหมาย เพื่อเพิ่มลงตะกร้าเก็บทรัพย์ที่สนใจ หรือกดอีกครั้งเพื่อลบออก
คลิกเพื่อเลือก บ้านที่ต้องการแล้วกดปุ่ม "เปรียบเทียบ" ได้เลย