FPTลั่น3ปีรายได้ทะลุ2.5หมื่นล้าน ทุ่มงบซื้อที่ดิน 10,720 ล้าน ผุดโครงการเพิ่ม

17 พ.ย. 2563 301 0

           FPT วางเป้า 3 ปี ก้าวขึ้นเป็นอันดับ 3 ด้านรายได้ของผู้นำตลาดอสังหาฯ ที่มีรายได้มากกว่า 2.5-3 หมื่นล้านบาท พร้อมทุ่มงบซื้อที่ดิน 10,720 ล้านบาท ลุยพัฒนาโครงการเพิ่ม แย้มแผนปี 64 จ่อเปิดใหม่ 24 โครงการ มูลค่ารวม 2.98 หมื่นล้านบาท

          นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) บริษัทในเครือบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยว่า หลัง FPT เข้าซื้อกิจการของ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GOLD ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย โกลเด้นแลนด์ ได้เปลี่ยนมาเป็น “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม” และยังคงเป็นผู้นำอันดับ Top 5 ของประเทศสำหรับกลุ่มธุรกิจเพื่อที่อยู่อาศัย ด้วยโครงการคุณภาพสูงรวมกว่า 60 โครงการ

          โดยในระยะ 3 ปี (ปี 2564-2566) บริษัทตั้งเป้าพันธกิจ (Missions) ก้าวขึ้นเป็นอันดับ 3 ด้านรายได้ของผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือมีรายได้มากกว่า 25,000-30,000 ล้านบาท สำหรับแผนธุรกิจในปี 2564 บริษัทตั้งเป้าหมายมียอดรับรู้รายได้จากงานเฉพาะกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย 16,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยไตรมาสละ 4,000 ล้านบาท เติบโต 10% จากปี 2563 โดยประเมินสัดส่วนรายได้จากทาวน์โฮม 42% นีโอ โฮม บ้านแฝด 23% บ้านเดี่ยว 21% และโครงการต่างจังหวัด 14% ซึ่งได้วางกลยุทธ์การตลาดแบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ไว้ดังนี้ 1.ทาวน์โฮม มุ่งขยายไปในทำเลใหม่ เติมโครงการในทําเลเดิม เน้นทําเลที่ดีกว่าคู่แข่งทั้งตลาด และรักษาคุณภาพการก่อสร้าง ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ยังคงเน้นด้านฟังก์ชันเด่น

          2.นีโอ โฮม เป็นบ้านแฝด ที่เน้นทำเลใกล้เมือง ฟังก์ชันระดับบ้านเดี่ยว และราคาไม่แพง บ้านเดี่ยว ออกผลิตภัณฑ์ใหม่  ซึ่งเหมาะกับที่ดินที่ราคาแพงขึ้น โดยเน้นคุณภาพโครงการ ฟังก์ชัน และความหรูหรา ให้เหมาะกับ Life Style & Socio-Economic Status-SES และ Brand หรือชื่อโครงการให้เป็นที่รู้จักในต่างจังหวัด เน้นทําเลที่ดีกว่าคู่แข่งทั้งตลาด มุ่งเป้าสู่การเป็นผู้นําทําเลเมืองสำหรับโครงการต่างจังหวัด นอกจากนี้ ยังจะพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทุกระดับความต้องการของลูกค้า

          พร้อมทั้งมีแผนจัดซื้อที่ดินเพิ่ม 20 แปลง งบลงทุนประมาณ 10,720 ล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการทาวน์โฮม 9 แปลง วงเงิน 4,500 ล้านบาท โครงการนีโอ โฮม บ้านแฝด 2 แปลง วงเงิน 1,000 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว 1 แปลง วงเงิน 420 ล้านบาท โครงการต่างจังหวัด 5 แปลง วงเงิน 1,600 ล้านบาท  โครงการโฮมออฟฟิศ 2 แปลง วงเงิน 1,200 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 1 แปลง วงเงิน 2,000 ล้านบาท

          ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทตัดสินใจจะพัฒนาคอนโดมิเนียมเอง จากเดิมที่ซื้อโครงการของผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามา แต่ด้วยราคาเสนอขายที่สูงเกินไปอาจไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ภายในช่วงปลายปี 2564 อย่างน้อย 1 โครงการ เป็นคอนโดมิเนียมระดับราคาไม่เกิน 100,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) เจาะกลุ่มลูกค้าที่ทำงานในเมือง มีรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ซึ่งที่ดินดังกล่าวข้างต้น คาดว่าจะพัฒนาคอนโดมิเนียมได้มูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท

          อย่างไรก็ดี ในปี 2564 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ 24 โครงการ (ไม่รวมคอนโดมิเนียม และซิตี้โฮม) มูลค่ารวม 29,800 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการทาวน์โฮม มูลค่า 9,700 ล้านบาท โครงการนีโอ โฮม บ้านแฝด 5 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ มูลค่า 11,000 ล้านบาท และโครงการต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 2,100 ล้านบาท

          ขณะเดียวกัน ในเดือนมกราคม 2564 บริษัทเตรียมแถลงเปิดตัวการพัฒนาโครงการรูปแบบใหม่ “ซิตี้โฮม 3 ชั้น (City Home)” แฝด/เดี่ยว ระดับราคา 15-40  ล้านบาท บนทำเลในเมือง เน้นการเข้าถึงสะดวก ให้เป็นอีกทางเลือกของ Condo Penthouse หรือ Luxury Condo เน้นเจาะกลุ่มคนทํางานในเมือง (Real Demand) บนทําเลที่ไม่สามารถทําทาวน์โฮมได้ โดยมีฟังก์ชัน และดีไซน์ สวย คุ้มค่า ปัจจุบันบริษัทสนใจที่ดินในเมืองย่านวิภาวดี พระราม 9 และสาธุประดิษฐ์ ที่เหมาะกับการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับ 2 ล้านบาทขึ้นไปมาพัฒนาเป็น CITY HOME วางงบที่ดินเพื่อพัฒนาในระดับไม่เกิน 100,000 บาทต่อตารางวา เบื้องต้นต้องการเริ่มพัฒนาอย่างน้อย 3 โครงการ (มีที่ดินรองรับแล้ว 1 แปลง)

          นายแสนผิน กล่าวว่า เศรษฐกิจปี 2564 จะเติบโตกว่าปี 2563 แต่ตลาดยังมีการแข่งขันสูงในแต่ละโซนมีคู่แข่งมากกว่า 10 ราย และโปรโมชั่นยังคงดุเดือด เพราะทุกบริษัทต้องการเติบโต ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำก็เป็นตัวส่งเสริมความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง

          ด้านผลการดำเนินงานเฉพาะกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2563 บริษัทมียอดรับรู้รายได้ 10,894 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังเป็นที่น่าพอใจ สำหรับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในสถานการณ์โควิด-19 เช่นนี้ โดยมั่นใจว่าจะมียอดรับรู้รายได้ในปีนี้ตามเป้าหมายที่ 15,000 ล้านบาท ลดลง 4.90% จากปี 2562  ที่มีรายได้ 15,251 ล้านบาท สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและยอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะส่งผลให้รายได้มีการปรับตัวลดลง โดยปัจจุบันมียอดปฏิเสธสินเชื่อประมาณ 32%

          ทั้งนี้ ในไตรมาส 4/2563 บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 3 โครงการ เป็น นีโอ โฮม บ้านแฝด 2 โครงการ และทาวน์โฮม 1 โครงการ มูลค่ารวม 3,050 ล้านบาท โดยยังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

ที่มา:

คลิกเครื่องหมาย เพื่อเพิ่มลงตะกร้าเก็บทรัพย์ที่สนใจ หรือกดอีกครั้งเพื่อลบออก
คลิกเพื่อเลือก บ้านที่ต้องการแล้วกดปุ่ม "เปรียบเทียบ" ได้เลย