อสังหาฯหวั่นแบงก์เข้มข้นปล่อยกู้ ผวาหนี้ครัวเรือนพุ่ง ซีบีอาร์อีแนะต้องลดราคากระตุ้นยอดขาย
อสังหาริมทรัพย์
วานนี้ (23 กันยายน) บริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จำกัด ได้จัดเสวนาเร่อง “กรุงเทพจตุรทิศ : อสังหาฯฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ วกฤตนี้ยาวแค่ไหน...? โดยมีวทยากรจากสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เครดิตแห่งชาติ จำกัด บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) และบรษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) (AP) โดยมีผู้ประกอบการ และนักลงทุน เข้าร่วมฟังสัมมนา
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวถึงทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ว่า เดิมทุกครั้ง ตนเองจะมองภาพเป็นบวก แต่ครั้งนี้พูดยาก ใครที่เคยผ่านวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 ผมว่าวิกฤตตอนนั้น (ต้มยำกุ้ง) หนักสาหัส แต่เหตุการณ์ปีนี้จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เหมือนโรค มะเร็งที่ทยอยออกอาการ แต่ภาพใหญ่ของผลกระทบ จากโควิด-19 ไม่ได้มีเพียงประเทศไทยที่เดือดร้อน ประเทศเดียว แต่เดือดร้อนไปทั่วโลก ทั่วโลกสาหัสและสาหัสกว่านี้ แม้แต่หมอดู ยังไม่กล้าฟันธง ยากมาก
ขณะที่ราคาที่ดิน ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าขณะนี้ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะบังคับใช้แล้ว ซึ่งราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการกังวล เนื่องจากจะส่งผลต่อต้นทุนในการพัฒนาโครงการที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ รัฐบาลมีการ ผ่อนปรนในการจัดเก็บภาษีลงเหลือ 90% แต่ปี 2564 ไม่แน่ใจว่า จะมีมาตรการต่อเนื่องหรือไม่ ขณะที่โครงการที่อยู่อาศัยที่เหลือขายหากภายใน 3 ปี ยังไม่มีการจำหน่าย อาจจะต้องมีภาระทางภาษีเพิ่มขึ้น
“ในสถานการณ์ที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว และขายยาก การจะไปบวกราคาเพิ่มเหมือนในภาวะ ที่ตลาดขายดีๆ คงเป็นเรื่องที่ยาก ซึ่งเราจะเห็นว่า ราคาที่ดินในไตรมาส 2 ของปี 2561 ปรับสูงขึ้นประมาณ 15% ส่งผลให้ราคาห้องชุดต้องปรับขึ้นตามต้นทุนประมาณ 5% และราคาที่ดินชะลอตัวลง และกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ในไตรมาส 4 ของปี 62 รวมถึงสินค้าประเภทาวน์เฮาส์ราคาปรับขึ้นเช่นกัน นั้นหมายความว่า กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ชนชั้นกลาง จะหาที่อยู่อาศัยอาจจะลำบาก เนื่องจากรายได้ไม่สามารถรับกับโอกาสในการมีที่อยู่อาศัย ดังนั้น รัฐบาลควรจะมองเรื่องการที่จะทำตลาดปล่อยเช่าให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี จากผลของโควิด-19 ทำให้ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ทั้งกลุ่มประเภทคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว ราคาปรับลดลง”
ในภาพของจำนวนโครงการที่อยู่อาศัย ที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 63 ตามข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระบุว่า บริษัทที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ จะครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด โดยในครึ่งปีแรก ตลาดรวมมีการเปิดตัว 126 โครงการ กว่า 57.1% มาจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ มีหน่วยขายที่ออกสู่ตลาดมากถึง 63.5% จากหน่วยที่ออกสู่ตลาดรวม 26,301 หน่วย มูลค่าการเปิดโครงการรวม 159,470 ล้านบาท สัดส่วนของ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯประมาณ 35.8%
ที่อยู่อาศัยต่ำกว่า 2-3 ลบ.ดีมานด์สูงแต่ขอสินเชื่อยาก
สำหรับทำเลที่ตั้งโครงการบ้านจัดสรร ที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก ที่เป็นทำเลยอดฮิต ได้แก่ บางใหญ่บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย ซึ่งมีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่ 2,552 หน่วย มูลค่าโครงการ 8,520 ล้านบาท ระดับราคาที่เปิดขายมากที่สุด 2.01-3 ล้านบาท ประเภทที่เปิดขายมากที่สุด ส่วนทำเลที่มีโครงการอาคารชุด เปิดขายอันดับต้นๆ ได้แก่ ลาดพร้าว-วังทองหลาง- บางกะปิ จำนวนหน่วยที่เปิดขายใหม่ 2,386 หน่วย มูลค่าโครงการ 6,050 ล้านบาท ระดับราคาที่เปิดขายมาก ที่สุด 2.01-3 ล้านบาท ประเภทที่เปิดขายมากที่สุด 1 ห้องนอน ซึ่งจะสังเกตเห็นว่า ราคาที่มาเป็นอันดับต้นๆ จะอยู่ระหว่าง 2-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการ (ดีมานด์) ค่อนข้างมาก แต่เป็นตลาดที่การขออนุมัติ สินเชื่อค่อนข้างยาก
ทั้งนี้ การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยในจังหวัดภูมิภาคในไตรมาส 1 ปี 2563 ประมาณ 10,182 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 60.7% แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วง 5 ปีอยู่ที่ 10,700 หน่วย โดยภาคตะวันออก หรือ ในพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) มีการ ขออนุญาตถึง 50 โครงการ รูปแบบโครงการทาวน์เฮาส์มีหน่วยขอจัดสรรมากที่สุดจำนวน 3,455 หน่วย รอง ลงมาเป็นภาคเหนือ จำนวน 18 โครงการที่เปิด ภาคเหนือ มีจำนวน 22 โครงการ
ขณะที่จำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ในจังหวัดภูมิภาค ไตรมาส 1 ปีนี้ แม้จะยังเติบโตประมาณ 10.9% แต่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ ไตรมาส 4 ของปี 62 ตัวเลขขยายตัว 19.9% เช่นเดียวกับมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ฯอยู่ที่ 80,888 ล้านบาท เติบโต 25% แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีมูลค่าการโอน กรรมสิทธิ์ฯ 95,572 ล้านบาท เติบโต 28.6%
เช่นเดียวกับสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปปล่อยใหม่ทั่วประเทศ ไตรมาส 1 ปีนี้ อยู่ที่ 138,238 ล้านบาท ลดลงติดลบ 13% และคาดว่าในปี 2563 สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่( Base) ลดลงติดลบ 10.8% มูลค่าอยู่ที่ 571,196 ล้านบาท
เศรษฐีจากกลุ่ม CLMV สนใจมาอยู่ประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยแล้ว ในสายตาของต่างประเทศ ถือว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพ ทั้งรื่องสภาพภูมิอากาศ คุณภาพชีวิตในการอยู่อาศัยที่ดี ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ค่าครองชีพที่ต่ำ ความเป็นเลิศและ หลากหลายด้านอาหาร ซึ่งในการหารือกับนายกรัฐมนตรี ทางสมาคมฯได้มีการเสนอแนวทางโครงการลงทุน เพื่อตอบสนองความต้องการของต่างชาติ ได้แก่ การ ส่งเสริมกลุ่มวัยเกษียณ ส่งเสริมให้ชาวต่างชาติซื้อบ้าน และที่อยู่อาศัย (ภายใต้ข้อจำกัด) การเป็นศูนย์กลาง ด้านการเงินและเทคโนโลยีของกลุ่มประเทศ CLMV และชักชวนเศรษฐีจากกลุ่มประเทศ CLMV และประเทศ อื่นๆ มาใช้ชีวิตในเมืองไทย
“วอนรัฐอย่าพึ่งออกกฎระเบียบที่เข้มงวด เพราะเป็นการซ้ำเติม แต่ภาครัฐควรพยายามตั้งหน่วยงาน เฉพาะกิจในรูปแบบ วันสต็อปเซอร์วิส หรือให้ผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัด สามารถคุยกับเอกชนในทุกธุรกิจ และรายงานตรงกับ ศบศ.เพื่อลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องบ้านผู้มีรายได้น้อย รัฐควรเปิดกว้างในพื้นที่สีน้ำเงินที่สงวนให้กับเฉพาะหน่วยงานรัฐ เปิดโอกาสให้สามารถทำเช่าให้กับประชาชนได้ เพื่อแก้ปัญหาที่ดินบุกรุก และหากสามารถทำในเชิงคอมเมอร์เชียลได้ จะทำให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น”
รับมือหนี้ครัวเรือนพุ่งแตะ 90%
นายเผด็จ เจริญศิวกรณ์ รองผู้จัดการใหญ่ บริษัท เครดิตแห่งชาติ จำกัด เปิดเผยว่า จริงๆ ภาคอสังหาริมทรัพย์ มีปัญหากับแบงก์ ไม่ใช่มีปัญหากับ เครดิตบูโร ซึ่งหน้าที่ของเครดิตบูโร มีหน้าที่นำเสนอ ข้อมูลให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปัจจุบัน ภาระหนี้สินของคนไทยมีปริมาณที่สูง หนี้ครัวเรือน เริ่มปรับสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2561 หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี เติบโตมาในช่วง 10 ปีเพิ่มกว่า 25%
“สิ่งที่เราต้องดู คือ การก่อหนี้ของกลุ่มคนที่ อายุน้อย 23-40 ปี และเรา (หมายถึงเครดิตแห่งชาติ) มองว่า แม้จะเกษียณอายุแล้ว ภาระหนี้ของกลุ่มดังกล่าว ยังมีหนี้อยู่ ตามตัวเลขในปี 2561 กว่า 3 ล้านคน หรือประมาณ 16% เป็นหนี้เสีย และคาดว่าในปีนี้ ตัวเลข ดังกล่าวยังเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ และสิ่งที่เรา เป็นห่วง มีสัญญาณที่หนี้ครัวเรือนจะไปสู่ตัวเลขระดับ 90% ต่อจีดีพีในไตรมาส 4 ปีนี้ เนื่องจากส่งออกและการ ท่องเที่ยวมีปัญหา จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ระดับ 81.5% โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีประมาณ 5.08 ล้านล้านบาท และสินเชื่อส่วนบุคคลและการบริโภคมีสัดส่วนอยู่ในหนี้ครัวเรือน ประมาณ 3.30 ล้านล้านบาท รวมทั้งสองกลุ่มมีตัวเลขที่สูงมาก ซึ่งในปีที่ผ่านมาหนี้ครัวเรือนไทย 13.47 ล้านล้านบาท คิดเป็น 79.8% ของจีดีพีประเทศไทย สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ ธนาคารต้องเข้ามาดูแลลูกหนี้ และมีบางกลุ่มที่เข้าโครงการการผ่อนชำระทำให้บัญชียังเป็นปกติ แต่เรา ก็ห่วงแนวโน้มหลังหมดมาตรการรัฐ โดยลูกหนี้กลุ่ม ที่ยังดี หากไม่มีการเติมเพื่อให้ไปต่อ อาจจะลำบาก ทั้งนี้ การที่แบงก์เข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ก็เพื่อบริหารสินเชื่อ”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงโควิด-19 การขายบ้านลดลงแน่นอน ตอนนี้คนจะมองเรื่องทำเล โดยเฉพาะราคา ไม่เกิน 3 ล้านบาท ตรงนี้ เรามองว่า การปล่อยสินเชื่อยังดี ต่างจากตลาดกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี ที่อาจจะน้อยลง อสังหาฯต้องผันตัวเองเป็นออนไลน์ ปัจจัยด้านทำเลอาจไม่สำคัญเท่าขนาดของที่อยู่อาศัย และอยากใช้พื้นที่ส่วนกลางแบบมีพื้นที่ส่วนตัว ดังนั้น ภาคอสังหาฯคงต้องต่อสู้กันไป และคงต้องรอแบงก์ชาติอีกนิดหนึ่ง”
ซีบีอาร์อี แนะต้องลดราคาสินค้ากระตุ้นยอดขายสู้ ศก.
นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563-2564 กล่าวถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า ช่วง 12 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยเจอสถานการณ์เหมือนในปัจจุบัน ซึ่งวิกฤตการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดการชะลอตัวของซัปพลาย ทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นข้อดีที่จะทำให้ตลาดกลับสู่ภาวะ สมดุลในเชิงปริมาณซัปพลาย กลุ่มผู้ซื้อลดลงเหลือ เพียงกำลังซื้อในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มซื้ออยู่เอง นักลงทุนชะลอการตัดสินใจจะแผ่วลง
ทั้งนี้ หากแยกเป็นตลาด จะพบว่า ตลาดที่อยู่อาศัยเป็นตลาดที่ฟื้นตัวเร็วที่สุด เป็นการขายให้กับบุคคลธรรมดา เป็นช่วงระบายสินค้าที่เหลืออยู่ การพัฒนาโครงการใหม่ชะลอตัว ราคาทรงตัวหรือปรับตัวลดลง โดยคอนโดฯในพื้นที่ใจกลางเมือง กลุ่มตลาดบน จาก 270,567 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ในปี 2563 อยู่ที่ 271,907 บาทต่อ ตร.ม. ถือว่าราคาไม่เปลี่ยนแปลง มากนัก หากเทียบกับการเปลี่ยนแปลงหลังจากน้ำท่วม ราคากระโดดเพิ่มขึ้นสูง เช่นเดียวกันกับราคาอสังหาฯ รอบนอกใจกลางเมือง ลดลงจากปีที่ผ่านมา จาก 99,635 บาทต่อ ตร.ม. ในปีที่ผ่านมา ในปีนี้อยู่ที่ 98,082 บาทต่อ ตร.ม. ตลาดอาคารสำนักงานชะลอตัว เนื่องจากบริษัทต่างๆ อยู่ระหว่างการปรับแผนการใช้พื้นที่ เพราะบริษัทต่างๆ ยังไม่ชัดเจนในเรื่องทำงานที่บ้านต่อหรือไม่
ตลาดค้าปลีกจะมีการปรับเปลี่ยนเป็นอย่างมาก ทั้งจากการขยายตัวของอี-คอมเมิร์ซ และผลกระทบ จากโควิด-19 ทำให้เป็นภาคธุรกิจที่มีความท้าทายเป็น อย่างสูงและตลาดพื้นที่คลังสินค้ามีการเจริญเติบโตสูง
“เรายอมรับ ตลาดคอนโดฯ ราคาสูงเกินไป ทำให้การขายคอนโดฯ จะมีความแตกต่างกัน เช่น คอนโดฯ ที่สร้างเสร็จตรงนี้ สามารถลดราคาลงเยอะ 5-40% แต่ ถ้าเป็นคอนโดฯที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ราคาไม่ได้ลดลง หากเราจะเจาะกลุ่มนักลงทุน กลุ่มนี้ขอลดราคาเยอะมาก และจากกลุ่มลูกค้าที่ บริษัทซีบีอาร์อีฯ ทำอยู่ประมาณ 29 โครงการ ยอดขายประมาณ 27,000 ล้านบาท พบว่า ก.ค. ลูกค้าเข้ามาสอบถามเยอะสูงสุดตั้งแต่หลังปลด ล็อกดาวน์ แต่ ส.ค.-ก.ย. พบเห็นว่า ตลาดค่อยๆ ปรับลงไปใกล้เคียงกับต้นปีที่ผ่านมา”
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าความต้องการซื้อบ้านนั้นยัง มีอยู่ แต่ละปียังมีกลุ่มคนต้องการที่อยู่อาศัย เพียงแต่ จะต้องมีการปรับลดราคาให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของ ผู้บริโภค และตลาดในปัจจุบันควรมุ่งเน้นการขายในประเทศ หากยังไม่มีการเปิดน่านฟ้า ก็มีเพียงลูกค้าในประเทศเป็นหลัก อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับบางเซกเมนต์ และบางทำเลยังมีความต้องการ นอกจากนี้ ภาคอสังหาฯ ยังเป็นทางเลือกที่ดีในการลงทุนท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ
ขณะที่ บ้านพักตากอากาศระดับบนใกล้กรุงเทพฯ เช่น หัวหิน พัทยา (ถ้าขายจีน เฉพาะจะขายได้) แต่ ถ้าขายให้กับคนไทย จะเห็นว่าโครงการคอนโดฯในพัทยา มีการเปิดน้อยมาก มีเพียง 1 โครงการยังต่ำมาก โครงการที่อยู่อาศัยใกล้โรงเรียนและมหาวิทยาลัย โครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในทำเลที่ไม่ล้นตลาด และมีราคาถูกกว่าก่อนวิกฤตโควิด-19 ในส่วนของตลาด Wellness/Senior Living อาจจะต้องปรับโดยร่วมกันกับโรงพยาบาลชั้นนำ เพื่อสร้างจุดแข็ง เนื่องจากยังเป็นตลาดที่ทำได้ยาก เพราะมีทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทย กลุ่มคนไทยที่อยากอยู่กับคนไทย กลุ่มคนไทยไม่อยากอยู่กับคนต่างชาติ แต่เราพบว่า กลุ่มนี้ต้องการคือ ใครจะดูแล ต้องการคนดูแล อาจจะเป็นโมเดลคอนโดฯที่มีบริการเสริมเข้าไป มีการอบรมบุคลากรหรือมีความร่วมมือกับโรงพยาบาลเข้าไปเสริม กองทุน อสังหาฯต่างประเทศสนใจเข้ามาร่วมทุนด้วย
ทั้งนี้ ประเมินว่า หลังโควิด-19 คาดว่านักลงทุนระยะสั้นและระยะยาว หลายประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และอื่น ผู้ซื้อต่างชาติจะเพิ่มขึ้น แต่เมื่อไหร่ ต้องหมดโควิด-19 อย่างชัดเจน
LPN มองตลาดปล่อยเช่าเหมาะสมในยุคโควิด-19
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) กล่าวยอมรับว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบนี้ (โควิด-19) แตกต่างจากช่วงต้มยำกุ้ง ในปี 2540 ช่วงนั้นเศรษฐกิจตกต่ำเฉพาะจุดเฉพาะในเอเชีย หลายประเทศในโลกยังมีสถานการณ์เศรษฐกิจดี เมื่อเราแย่ ยุโรป อเมริกา ก็ยังดีอยู่ ทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่รอบนี้เป็นวิกฤตด้านสาธารณสุขที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก สถานการณ์ของหลายประเทศยังไม่ดีขึ้น การปิดประเทศยังมีอยู่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ยากกว่าเพราะไม่รู้ว่าใครจะไปช่วยใครแต่ละคนต้องช่วยตัวเอง อย่างประเทศไทยสถานการณ์คลี่คลาย แต่ก็ยังต้องระมัดระวังการระบาดระลอกสอง ถึงแม้จะส่งออกได้ แต่ก็ไม่ได้ทุก sector เพราะกำลังซื้อในตลาดโลกก็ชะลอตัว ที่ฟื้นตัวได้ตอนนี้ก็มีจีน แต่ อีกหลายประเทศยังมีปัญหา เราต้องพึ่งพาตัวเอง เป็นเรื่องที่เราต้องบริหารจัดการ
และจากการทำตลาดของบริษัทฯในช่วง 8 เดือน ที่ผ่านมา พบว่า มากกว่า 70% ของลูกค้าที่เข้ามาซื้อโครงการของเรา เป็นลูกค้าที่ต้องการลงทุน ซื้อมาปล่อยเช่า เพราะปัจจุบันคนมีเงินออมอยู่ในสถาบันการเงินได้อัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่า 1.5% ทำให้มีลูกค้าที่ต้องการบริหารจัดการเงินออมเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งการลงทุนในอสังหาฯ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายวิกฤต อสังหาฯ มีการปรับตัวลดลงมาในช่วงวิกฤต แต่สุดท้ายราคาก็จะขยับขึ้นมา ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ราคาไม่ตก ถึงแม้ผลตอบแทนจะไม่สูงเท่ากับการลงทุนในหุ้น แต่การลงทุน ในหุ้นก็มีความเสี่ยงสูงกว่า ในขณะเดียวกันการลงทุนในอสังหาฯ ก็ให้ผลตอบแทนกับผู้ลงทุนได้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
“ในสถานการณ์แบบนี้ หลายคนไม่สามารถซื้อบ้านอยู่ได้ ก็ต้องเช่าบ้านอยู่ จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุน ที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อมาปล่อยเช่า ซึ่งในครึ่งแรกของ ปี 2563 เราพบว่า ถึงแม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง แต่เมื่อผู้ประกอบการอสังหาฯ ใช้กลยุทธ์การตลาด แบบ ลด แลก แจก แถม หั่นราคากันแบบ ไม่เห็นกำไร เพื่อตุนเงินสดไว้ให้มากที่สุด เราพบว่ามี ยอดโอนที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในไตรมาสสองของปี 2563 มีมูลค่าสูงถึง 141,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปี 2563 ถึง 7.5% ผิดจากที่เราคาดการณ์ไว้แต่แรก
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกำลังบอกเราว่า กำลังซื้อ ยังมีอยู่ในตลาด เมื่อเราเสนอราคาที่ผู้ซื้อจับต้องได้ ซึ่งเป็นกำลังซื้อทั้งจากผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัยจริง และนักลงทุนที่ซื้อเพื่อนำไปหารายได้จากการปล่อยเช่า กลุ่มลูกค้าที่มีเงินเก็บ การฝากเงินในปัจจุบันได้ดอกเบี้ยต่ำ ลงทุนในหุ้นก็มีความเสี่ยง การลงทุนอสังหาฯ ที่ผู้ประกอบการการันตีผลตอบแทน 5-8% เป็นโอกาสสำหรับการออมอีกรูปแบบหนึ่ง”
ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา