คลังเปิดจอง ซีเนียร์คอมเพล็กซ์ ปีนี้
อธิบดีกรมธนารักษ์ เผย ภายในปลายปีนี้ กรมฯจะเปิดให้ผู้สูงอายุ เข้าจองซีเนียร์คอมเพล็กซ์ที่พัฒนา ร่วมกับโรงพยาบาลรามาธิบดีที่อำเภอบางพลี สมุทรปราการ กำหนดราคาไม่เกิน 1.9 ล้าน ระยะเช่าซื้อยาว 30 ปี
นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดี กรมธนารักษ์ กล่าวว่า ภายในปลายปีนี้ กรมฯจะเปิดให้ผู้สูงอายุที่สนใจได้เข้าจอง ที่พักที่กรมฯกำลังจะพัฒนาให้เป็น ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจรหรือซีเนียร์คอมเพล็กซ์บนพื้นที่ราชพัสดุตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่รวม 72 ไร่
“เดิมเราจะเปิดให้จองราวปี 2565 แต่ขณะนี้ เราได้เร่งรัดโครงการให้เร็วขึ้น โดยจะเปิดให้จองภายในปีนี้ และดำเนินการ ก่อสร้างในปีหน้า ซึ่งงบประมาณที่ใช้ใน การก่อสร้าง เราจะใช้เงินกู้ โดยขณะนี้ แบงก์รัฐทั้งออมสิน กรุงไทย และ ธอส.เสนอให้เราใช้เงินกู้แล้ว ซึ่งมูลค่าก่อสร้างรวมๆ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาท”
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะแบ่งเป็น 3 โซนหลัก โซนแรกจะเป็นโรงพยาบาล โดยโรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างเนื้อที่ประมาณ 32 ไร่ โซนที่สอง จะเป็นที่พักของผู้สูงอายุ เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ และ 3.ที่พักสำหรับผู้ป่วยสูงอายุ
“ขณะนี้ ทางโรงพยาบาลรามา เขาขอพื้นที่เพิ่มอีก 10 ไร่ เพื่อขยายพื้นที่โรงพยาบาลให้เพิ่มเป็น 1 พันเตียง ฉะนั้น ถ้าเฟสแรกที่เราทำมีผู้สูงอายุสนใจมาก เราก็จะเดินหน้าทำเฟสสอง”
สำหรับที่พักอาศัยผู้สูงอายุที่กรมฯ จะดำเนินการก่อสร้างในเฟสแรกนี้ จะมีจำนวนประมาณ 900 ยูนิต พื้นที่ต่อหน่วย อยู่ที่ 35 ตารางเมตร ราคาประมาณ 1.8-1.9 ล้านบาท เช่าซื้อระยะยาวที่ 30 ปีขึ้นไป ภายในที่พักจะจัดให้มีพื้นที่สำหรับกิจกรรมสันทนาการต่างๆ เพื่อให้เป็น ที่พักผ่อนสำหรับผู้สูงอายุด้วย
สำหรับคุณสมบัติของผู้จองซื้อนั้น เบื้องต้น กำหนดอายุ 55 ปีขึ้นไป และ ต้องเป็นผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป เพราะจะต้องมีค่าส่วนกลาง ที่จะเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลพื้นที่และกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ไม่นับรวมค่ารักษาพยาบาลและอาหาร ซึ่งในรายละเอียด จะมีการกำหนดอีกครั้ง
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวดำเนินการ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุของไทย โดย ภาครัฐและภาคสังคมจะได้ผลประโยชน์ จากการดำเนินโครงการดังกล่าว ทำให้ผู้สูงอายุ มีที่พักอาศัยบนที่ดินราชพัสดุพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุโดยเฉพาะมีระบบ การดูแลสุขภาพและสวัสดิการอื่นๆแบบ ครบวงจร และยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ผู้สูงอายุ และประหยัดงบประมาณ ในการดูแลผู้สูงอายุด้วย
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ