พฤกษา เหยียบคันเร่งครึ่งหลังพิษโควิดลดเป้ายอดขายปีนี้25%
“พฤกษา"เผย 5 เดือนโละสต็อกคอนโดตามเป้า เหยียบคันเร่งครึ่งปีหลังเปิดคอนโด 1 โครงการ บ้านเดี่ยว 3 โครงการ เจาะบ้านเดี่ยว10ล้านบวกลบ คอนโด 2 ล้าน เกาะติดสงครามราคาเขย่าตลาด พิษโควิดลดเป้ายอดขายลง25%
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-บ้านเดี่ยว และคอนโด บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า 5 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ค.) บริษัทสามารถระบายสต็อกได้ตามแผน โดยเฉพาะสต็อกคอนโดมิเนียม มูลค่า 5,000 ล้านบาท ขายไปได้เกือบหมดและมีของใหม่เข้ามาเติม เนื่องจากโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างทยอยแล้วเสร็จ ส่วนบ้านเดี่ยวมีสต็อก ประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยในไตรมาสสอง ที่ผ่านมาเน้นขายสต็อกเป็นหลักพร้อมกับชะลอเปิดตัวโครงการใหม่
“ปัจจุบันสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย เริ่มดีขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมโครงการเพิ่มขึ้นและการเข้ามาดูในเว็บไซต์เหมือนปกติแต่ยอมรับว่า ช่วงระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อนานขึ้น เพราะมีตัวเลือกจากโปรโมชั่นที่ออกมามากขึ้นจากเดิมที่ซื้อเร็วโอนกรรมสิทธิ์เร็ว โดยลูกค้าในกลุ่มรายได้ระดับกลางจะขายดีเพราะกลุ่มลูกค้า ยังมีกำลังซื้อ และเป็นกลุ่มที่นิยมซื้อบ้านหรือคอนโดพร้อมอยู่ในราคาที่คุ้มค่าที่สุด”
นายปิยะ ยังกล่าวว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 บริษัทได้ปรับเป้าภาพรวมยอดขาย ในปีนี้ ลดลง25%จาก38,000 ล้านบาท เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ตลาด
โดยในช่วงครั้งปีหลังมีแผนเปิดตัว โครงการพลัมคอนโด สุขุมวิท 97 มูลค่า 950 ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดโลว์ไรส์ 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 425 ยูนิต ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส บางจาก ราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาท และโครงการบ้านเดี่ยว 3 โครงการ ได้แก่ ภัสสร ดอนเมือง ธูปะเตมีย์ มูลค่า 1,340 ล้านบาท ราคา5-7 ล้านบาท ต่อหลัง โครงการเดอะ ปาล์ม แจ้งวัฒนะ - ชัยพฤกษ์ มูลค่า 1,630 ล้านบาท ราคา 7-5 ล้านบาทต่อหลัง และโครงการเดอะ ปาล์ม บางนา- วงแหวนมูลค่า 1,460 ล้านบาทราคามากกว่า 15 ล้านบาทต่อหลัง
“ขณะนี้ยังคงต้องรอดูสถานการณ์ในแต่ละเซ็กเมนต์อย่างใกล้ชิดว่า สงครามราคาในทำเลไหนจบแล้วและยังมีดีมานด์อยู่ไหมต้องประเมินสถานการณ์เป็นระยะๆ แม้ว่าภาพรวมตลาดดีขึ้น แต่สงครามราคาคงยังมีอยู่เพราะยังมีบริษัทที่ต้องการจะเคลียร์สินทรัพย์ที่มีอยู่ แต่คงทำได้ไม่มาก เพราะบริษัทจะอยู่ได้ต้องมีกำไร หากไม่มีความ จำเป็นจริงๆคงไม่มีใครอยากเล่นสงครามราคา แต่ที่ผ่านมาตลาดคอนโดมีปัญหาโอเวอร์ซัพพลายจึงต้องปรับราคาลงมาเพื่อให้ขายได้เหมือนหุ้นที่ต้องปรับฐาน”
สำหรับตลาดแนวราบ (บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์) ถือเป็นโอกาสหลังจากโควิด โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต รูปแบบใหม่หรือนิวนอร์มอล ซึ่งเซ็กเมนต์ระดับกลางตั้งแต่ 5 -10ล้านบาทกลุ่มลูกค้ายังมีกำลังซื้ออยู่ และส่วนหนึ่งเกิดจากการที่มีแคมเปญโปรโมชั่นจากนักพัฒนาอสังหาฯ ออกมากระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่เซ็กเมนต์ที่หายไปคือเซ็กเมนต์บ้านเดี่ยวระดับล่าง เนื่องจาก ได้รับผลกระทบหนักจากสถานการณ์โควิด-19 กระทบการจ้างงาน ทำให้กำลังซื้อลดลง รายได้หายไป ส่วนกลุ่ม คอนโดระดับราคา 2-3 ล้านบาท ถือเป็นราคาที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่าย
นอกจากนี้ บริษัทยังปรับปรุงการทำงาน เพื่อลดความซ้ำซ้อนให้การทำงานเรียลไทม์ ใช้ดิจิทัลมากขึ้นภายใต้โครงการ Streamline ทั้งนี้เพื่อปรับตัวเพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม ผู้บริโภครวมทั้งความไม่แน่นอนในตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ปีนี้รอลุ้นช่วงไตรมาส 4 ว่ายอดขายจะกลับมาได้มาน้อยแค่ไหนในสถานการณ์แบบนี้ต้องระมัดระวังไม่ฝืนตลาด แต่ปีนี้ยอดโอนมากกว่ายอดขายแน่นอน”
นายปิยะ ยังกล่าวว่า ปัจจุบันพฤกษามีพอร์ตสินค้าครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ บน กลาง ล่าง ถือเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับนักพัฒนาอสังหาฯบางรายที่มีบางเซ็กเมนต์ เหมือนมีหุ้นหลายตัวให้เลือกเล่นได้ ตามความต้องการของลูกค้า จุดเด่นของสินค้าของพฤกษา เน้นฟังก์ชั่นการใช้งาน เพราะมีการทำวิจัยตลาดสม่ำเสมอ
“ปีนี้เราเน้นคอนโดระดับราคา 2-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่ลูกค้าจับต้องได้ ส่วนเซ็กเมนต์บน-ล่างจะเบรกไว้ก่อนขณะที่แนวราบ จะเน้น10ล้านบวกลบจับกลุ่มเรียลดีมานด์คาดว่าหลังจากโควิดระดับราคาสินค้าคงปรับลงจากฐานเดิมจากที่ปรับราคาในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาปรับขึ้นมาเยอะ แต่ราคาที่ดินไม่ปรับลง”
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ