NCH มองรัฐไม่ต่ออายุ LTV หนุนตัดสินใจซื้อบ้านเร็ว
NCH มองบวกรัฐไม่ต่อมาตรการ LTV หนุนผู้บริโภครีบตัดสินใจซื้ออสังหาได้ไวขึ้น “สมนึก ตันฑเทิดธรรม” คาดว่าไตรมาสที่ 4/2565 จะสามารถรับรู้ Backlog กว่า 500 ล้านบาท เตรียมทำแผนธุรกิจปี 2566 เล็งเปิดโครงการใหม่ราว 5 โครงการใกล้เคียงปีนี้ และมองว่า ภาคอสังหาไทยโดยรวมจะกลับมาฟื้นตัวเต็มที่
นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH เปิดเผย ว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ไม่ต่ออายุการผ่อนคลายมาตรการ LTV ทำให้ในปี 2566 จะกลับไปใช้ เกณฑ์เดิม คือซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 ขึ้นไปในราคา 10 ล้านบาท กู้ได้ 70-90% ส่วนราคามากกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่หลังที่หนึ่งเป็นต้นไปกู้ได้ 70-90% ปัจจัยดังกล่าวเป็นเชิงบวกต่อการรีบตัดสินใจของผู้บริโภคที่สนใจจะซื้อบ้านในราคาดังกล่าว
กลุ่มผู้บริโภคมีโอกาสรีบตัดสินใจได้เร็วขึ้นก่อนจะหมดมาตรการ ดังกล่าว แต่อาจจะกระทบต่อกลุ่มรายได้ปานกลางลงไป (Mid-to-Low End) จากแรงกดดันดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่กลุ่มบน (High-End) คาดว่าไม่กระทบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ถือว่าก็เป็นบวกต่อบริษัท โดยคาดจะมียอดโอนในช่วงไตรมาสสุดท้ายอีกเป็นจำนวนมาก
รับรู้ Backlog ทั้งหมด
ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท จากโครงการแนวราบในทำเลต่างๆ คาดว่าภายในปีนี้จะรับรู้รายได้ทั้งหมด โดยสนับสนุนให้ทั้งปี 2565 จะมีผลประกอบการได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยสามารถทำยอดขายได้ที่ 4,600 ล้านบาท และมียอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้บริษัทยังมองว่าภาพรวมอุตสาหกรรมในปี 2566 จะมี แนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันเริ่มปรับตัวดีหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย การท่องเที่ยวและการเดินทางกลับเข้า สู่ภาวะปกติหนุนตัวเลข GDP ประเทศ ไทยปี 2566 ให้ปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 2565
ทำแผนธุรกิจปี 66
อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าจะเตรียมประกาศงบการดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 3/2566 ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 นี้ และบริษัทอยู่ระหว่างทำแผนธุรกิจในปี 2566 ซึ่ง คาดว่าจะมีการเปิดโครงการใหม่ใกล้เคียง กับปีนี้ ประมาณ 5 โครงการ มูลค่ารวม กว่า 4,500 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ประกอบด้วยแบรนด์ THEO ชัยพฤษ-แจ้งวัฒนะ, แบรนด์ NEOLA รังสิต-คลอง 2 และแบรนด์ NEOLA ลำลูกกา-คลอง 7 เป็นต้น รวมถึงอยู่ระหว่างการพิจารณา
ส่วนแผนการลงทุนในปี 2566 ได้วางงบไว้เพื่อรองรับการจัดซื้อที่ดินแปลงใหม่เข้ามาเติมพอร์ต Land Bank ต่อเนื่องมุ่งขยายทำเลที่ดินใหม่ออกมายังโซนกรุงเทพฯ-ตะวันออก หรือที่เชื่อมเกี่ยวกันจากเดิมที่ขยายในโซนตะวันตกเป็นส่วนมาก
ทั้งนี้คงมุ่งเน้น 3 แนวทางหลักเพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคต โดยในส่วนแรกนั้นจะให้ความสำคัญกับการเปิดตลาดเชิงรุก เจาะกลุ่มใหญ่แนวราบ ทาวน์เฮาส์, บ้านแฝด, บ้านเดี่ยว ระดับราคา 3-5 ล้านบาทต่อยูนิต โดยขยายทำเลเพิ่มครอบคลุมพื้นที่ 4 ทำเลศักยภาพ
ที่มา: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น