ANAN แย้มผลงาน Q1 มาตามนัด ยอดขายเกิน 4 พันล้าน หลังรุกตลาดออนไลน์

24 มี.ค. 2563 502 0

          นายชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2563 ทั้งยอดโอนกรรมสิทธิ์และยอดขาย (Presale) เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ จากการส่งมอบโครงการอย่างต่อเนื่อง และการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ (Online) มากขึ้น

          ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 1/2563 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์โครงการรวม 2,908 ล้านบาท มาจากการทยอยรับรู้โครงการต่อเนื่อง และจากการรับรู้ 2 โครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่เร็วกว่ากำหนด ได้แก่ โครงการ IDEO Q VICTORY (ไอดีโอ คิว วิคตอรี่) และโครงการ Elio Del Nest (เอลลิโอ เดล เนสต์) จากเดิมมีกำหนดสร้างเสร็จในไตรมาส 2/2563

          ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาส 1/2563 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมไว้ที่ประมาณ 3,900 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัททำยอดขายได้แล้วเกินระดับ 4,000 ล้านบาท จากการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ (Online) มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสินค้าพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ (สต๊อก) มากกว่า 30 โครงการ โดยพนักงานขายของบริษัทสามารถทำการขายได้อย่างต่อเนื่อง

          สำหรับเป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์รวมในปี 2563 บริษัทตั้งไว้ที่ 22,000 ล้านบาท ซึ่งล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมกว่า 31,100 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปี 2563 ประมาณ 12,379 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 56% ของ Backlog ทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ถึงปี 2565

          นอกจากนี้บริษัทยังมีสต๊อกจากโครงการคอนโดมิเนียมที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต รวมมูลค่า 3,900 ล้านบาท จาก 14 โครงการ และในปี 2563 จะมีสต๊อกสินค้าใหม่ที่มียูนิตไม่เกิน 3 ล้านบาท เพิ่มอีกจำนวน 4,700 ล้านบาท จาก 4 โครงการที่จะสร้างเสร็จใหม่ สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่ออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์จากการลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนอง

          ส่วนเป้าหมายยอดขาย (Presale) ในปี 2563 บริษัทยังคงไว้ที่ 20,000 ล้านบาท โดยจะเน้นการขายโครงการที่เป็นสต๊อกในพอร์ต และในปี 2563 บริษัทมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 8,500 ล้านบาท คือ โครงการ ไอดีโอ พหล-สะพานควาย ในทำเลติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย 0 เมตร บนที่ดินกว่า 5 ไร่ มีจำนวนห้องพักอาศัยทั้งหมด 1,356 ยูนิต ซึ่งมีการปรับรูปแบบโครงการและราคาขายให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและสภาวะตลาด เป็นราคาเริ่มต้นที่ 139,000 บาทต่อตารางเมตร จากในช่วงก่อนหน้าที่ตั้งราคาขายที่ 200,000 บาทต่อตาราง เมตร โดยจะเปิดจองในเดือนพฤษภาคม 2563

          นายชัยยุทธ กล่าวอีกว่า บริษัทมีความพร้อมจะเข้าไปทำตลาดต่างประเทศเพิ่ม จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติที่ประมาณ 20% (เป็นลูกค้าจีนประมาณ 80%) ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะมีประชากร 2 กลุ่มหลักที่จะมองหาที่อยู่อาศัยใหม่ ได้แก่ 1.กลุ่มที่ต้องย้ายถิ่นฐานตามความจำเป็น เช่น คนที่ย้ายการทำงาน เป็นต้น และ 2.กลุ่มคนที่ได้รับมีปัจจัยเร้าในการอยู่อาศัย เช่น ประชากรของประเทศฮ่องกง ที่มีกำลังซื้อและต้องการที่อยู่อาศัยในประเทศที่มีความปลอดภัย เป็นต้น ซึ่งบริษัทมีแผนนำโครงการพร้อมอยู่ในพอร์ตไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับลูกค้าในฮ่องกง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย

          นอกจากนี้ ในปี 2563 บริษัทเชื่อว่าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดได้ในระดับเกือบ 40% หรือประมาณ 400-800 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายลด SG&A ลงประมาณ 20% โดยการควบคุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับการควบคุมต้นทุนในการก่อสร้าง พร้อมกับการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรได้ดีขึ้น ในภาวะที่เศรษฐกิจเผชิญกับปัจจัยกดดันเข้ามา

ที่มา:

คลิกเครื่องหมาย เพื่อเพิ่มลงตะกร้าเก็บทรัพย์ที่สนใจ หรือกดอีกครั้งเพื่อลบออก
คลิกเพื่อเลือก บ้านที่ต้องการแล้วกดปุ่ม "เปรียบเทียบ" ได้เลย