อสังหาฯ ดุ แสนสิริโหมแนวราบ เอสซีตั้งเป้า 4 ปีรายได้แสนล้าน

11 มี.ค. 2565 580 0

          “แสนสิริ” ชูแนวราบหัวหอก ผุด 28 โครงการมูลค่า 3.9 หมื่นล้าน พร้อมปั้น” Sansiri Districts” ดึงเรียลดีมานด์ทุกระดับราคา ปัดฝุ่น “นาราสิริ"บ้านเดี่ยวราคา 20-50 ล้านในรอบ 8 ปี เจาะลูกค้าไฮเอนด์ วางเป้า 3 ปี เปิดตัวโครงการ 8 หมื่นล้านบาท ด้าน“เอสซี"เปิดเกมเชิงรุก หวัง 4 ปี รายได้ทะลุแสนล้าน

          นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการแนวราบเพื่อเป็นหัวหอกสำคัญสร้างรายได้ โดยมีแผนเปิดตัวโครงการคิดเป็น 75% ของโครงการรวม หรือ 28 โครงการ มูลค่ารวม 39,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 11 โครงการ มิกซ์โปรดักส์ 5 โครงการ และทาวน์โฮม 12 โครงการ ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ในสัดส่วน Affordable 45% Medium 26% และ Premium 29%

          “การแข่งขันตลาดแนวราบปีนี้รุนแรงมากว่าปีที่ผ่านมา สังเกตได้จากตัวเลขการเปิดตัวของแต่ละบริษัท คาดว่า แต่ละเดือนจะมีโครงการใหม่ไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ ฉะนั้นกลยุทธ์การทำตลาดจะกระจายทุกทำเล ทุกระดับราคาเพื่อสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ครอบคลุมทุกกลุ่มที่มีช่องว่าง”

          โดยขณะนี้เตรียมพัฒนาที่ดินในทั่วทุกมุมเมือง เช่น กรุงเทพกรีฑา, กรุงเทพ - ปทุมฯ, ราชพฤกษ์ 346 และรังสิต-บางพูน เพื่อสร้างให้เป็น “Sansiri Districts” รองรับลูกค้าที่เป็นเรียลดีมานด์สามารถเข้าถึงได้ในทุกระดับราคารอบกรุงเทพฯ โดยบริษัทมีที่ดินแปลงใหญ่ 4-5 แปลงใหญ่ประมาณ 300-400 ไร่ อยู่ที่กรุงเทพฯกรีฑา 2 จึงสร้างให้เป็น ” Sansiri Districts” จำนวน 300 ไร่

          นอกจากนี้ยังขยายโครงการในโซนเหนือ ย่านบางพูนจำนวน 400 ไร่ โดยพัฒนาให้เป็นเมือง ซึ่งมี 3 โครงการอยู่ในพื้นที่เดียวกันไม่ว่าจะเป็นสิริเพลส สราญสิริและ อณาสิริ ส่วนดิสทริคที่ 3 อยู่โซนกรุงเทพฯปทุมธานี  4 โครงการ ปัจจุบันโครงการที่เปิดขายอยู่คือเศรษฐสิริปทุมธานี เป็นบ้านเดี่ยวเทควิว สนามกอล์ฟ อาณาสิริ และดิสทริคที่ 4 อยู่ย่านราชพฤกษ์346 มีพื้นที่ 200-300ไร่ ทำมาเป็นเมือง เปิดอยู่ 3 โครงการ ได้แก่สิริเพลส อนาสิริ และคณาสิริ

          “ดิสทริคคือการที่เรานำที่ดินขนาดใหญ่ มาทำหลายโครงการเพื่อพัฒนาให้กลายเป็น เมืองเพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตให้กับลูกบ้านโดยการพัฒนา ส่วนกลางเพื่อรองรับการใช้ชีวิตในยุคนิวนอร์มอล รวมถึงการติดโซลาร์รูฟ ในบ้านเดียวทุกหลังภายใน 3 ปี รวมทั้งติดตั้งอีวีชาร์จเจอร์ให้กับบ้านระดับบนอย่างเศรษฐสิริเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ใช้รถไฟฟ้า”

          สำหรับแนวทางการพัฒนาโครงการแนวราบในปีนี้ จะตอกย้ำแนวคิด “Home for Everyone” ด้วยการพัฒนาโครงการแนวราบที่ครอบคลุมทุกโปรดักส์ บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด-ทาวน์โฮม ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ความต้องการ ในทุกระดับราคา และทุกทำเล เจาะกลุ่มเรียล ด้วย การ เปิดตัว สิริ เพลส 8 โครงการภายใต้ ซีรีส์ Dream Destination ในตลาด ทาวน์โฮมที่ราคาเข้าถึงง่าย พร้อมกับแบรนด์ อณาสิริ ที่ประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมา เพื่อตอบรับความต้องการที่หลากหลาย ด้วยการเปิดตัวอีก 4 โครงการใหม่ รวมทั้งการเปิดตัวโครงการ สราญสิริ 5 โครงการ 5 ทำเลครอบคลุม ในครึ่งแรกของปีนี้ ได้แก่สราญสิริ ประชาอุทิศ 90 , รามคำแหง, เทียนทะเล 30 ,พระราม 2 และบางนา ราคาเริ่มต้น 5.69 -12 ล้านบาท

          ฟื้นแบรนด์นาราสินิ เจาะไฮเอนด์

          นอกจากนี้เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำบ้านเดี่ยวระดับบน จะมีการเปิดตัวโครงการเศรษฐสิริ และ บุราสิริต่อเนื่อง ยังรวมถึงการต่อยอดความสำเร็จในตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ เปิดแบรนด์ บูก้าน ทำเลใหม่เพื่อรองรับกลุ่ม Young Successor และเปิดตัว โครงการ เดมี่ สาธุฯ 49 เป็นบ้านกลางเมืองพร้อม เปิดตัวแบรนด์ต้นแบบบ้านเดี่ยวระดับ ไฮเอนด์ “นาราสิริ” ราคา 20-50 ล้านบาทเป็นครั้งแรกในรอบ8ปีจำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวม 8,300 ล้านบาท หลังจากที่ แสนสิริไม่ได้มีการเปิดตัวบ้านเดี่ยว แบรนด์ นาราสิริ มานาน เนื่องจากทำเล ที่ดินส่วนใหญ่ยังไม่เหมาะสมกับการพัฒนา สินค้าระดับไฮเอนด์ แต่ในปีนี้มีความพร้อมทั้งทำเลและดีมานด์ของลูกค้าที่มีกำลังซื้อ

          โดยตั้งเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ไว้ที่ 24,000 ล้านบาท คิดเป็น 70% จากเป้าหมายยอดขายรวมของแสนสิริ พร้อมวางเป้ายอดโอนโครงการแนวราบ 22,000 ล้านบาท คิดเป็น 63% จากเป้าหมายยอดโอนรวม เติบโตขึ้น 20% จากยอดโอนในปีที่ผ่านมา 18,300 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมองถึงความแข็งแกร่ง ระยะยาวในช่วง 3 ปี ที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยแผนการเปิดตัวโครงการ แนวราบมูลค่ารวม 80,000 ล้านบาท พร้อมเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบ 3 ปีที่ 62,000 ล้านบาท

          สำหรับผลประกอบการในปีที่ผ่านมา ยอดขายโครงการแนวราบทะลุเป้า ไปถึง 22,400 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 12% และโตขึ้นเกือบ 10% จากยอดขายแนวราบปีก่อน ประสบความสำเร็จ Sold out โครงการแนวราบไปถึง 11 โครงการ มูลค่ารวม 20,700 ล้านบาท โดย ยอดขายแนวราบที่ทำได้คิดเป็นสัดส่วนถึง 67% จากยอดขายรวมปี 64 ขณะที่ยอดโอนโครงการแนวราบสูงกว่า เป้าหมายที่ 18,300 ล้านบาท และคิดเป็น 55% จากยอดโอนรวมปี 64

          SC ปักธง 4ปี ปั้น รายได้รวม"แสนล้าน”

          นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กรบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า สำหรับ การดำเนินธุรกิจใน 4 ปีข้างหน้า (ปี2565-2568) ตั้งเป้าการเติบโตจะมาจากทั้ง สมรภูมิเดิม และน่านน้ำใหม่ ภายใต้ 4 ปี คาดจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท โดยปีนี้จะเป็นปีแรกที่รายได้เกิน 2 หมื่นล้านบาท

          โดยรายได้ที่มาสนับสนุนการเติบโต ไปสู่เป้าหมายดังกล่าวหลักๆ มาจากโครงการแนบราบ และแนวสู. รวมถึงน่านน้ำใหม่ หรือโอกาสใหม่บนสมรภูมิใหม่ที่จะมีส่วนสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตแข็งแกร่งมากขึ้น ภายใต้การบริหารจัดการด้าน การเงินที่เข้มแข็ง

          ขณะเดียวกัน การสร้างโอกาสใหม่ที่ถือเป็นน่านน้ำใหม่ หรือ Engine 2 Revenue ที่จะเป็นตัวที่จะสร้างรายได้และกำไรให้เพิ่มขึ้น จากการปรับปรุง Hybrid Workplace และ Workation Hotel เพื่อรองรับวิถีการใช้ชีวิตใหม่ หลังโควิด-19 รวมถึง มีแผนลงทุน ต่อเนื่อง จนถึงปี 2566 ในธุรกิจโรงแรม Workation

          ล่าสุดเข้าไปลงทุนแล้ว 2 ใน 3 ของงบลงทุนที่ตั้งไว้ที่ 100 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นมองว่า Engine 2 นี้จะเป็นส่วนสำคัญ ที่จะทำให้รายได้ในปี 2568 ของเอสซี เติบโตขึ้นมา 100% ได้หากเทียบกับ ปัจจุบัน”

          นอกจากนี้ การขับเคลื่อนธุรกิจของ เอสซี ยังอยู่ภายใต้ยุทธ์ศาสตร์ “เชื่อมต่อ ทุกสิ่งถึงกัน สร้างคุณค่ามากกว่า” โดยจะมีการนำเข้านวัตกรรม เทคโนโลยี มาทำให้เกิดการเชื่อมต่อเกี่ยวกับสินค้าและบริการของบริษัท รวมถึง ในไตรมาส 4 ปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัว ยูทิลิตี้ โทเคน ภายใต้ชื่อ “SC Morning Coin"เพื่อ นำมาใช้ในอีโคซิสเต็มของ เอสซี และ อีโควซิสเต็มของพันธมิตร

          “ภายใต้แผนลงทุนใน 4 ปีแม้จะ ลงทุนไม่น้อย แต่เชื่อว่าจะบริหาร จัดการภาระหนี้ต่อทุนไม่ให้เกิน 1.5 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับที่สามารถบริหารสภาพคล่องและความเสี่ยงที่รับได้ ภายใต้การเติบโตที่วางไว้ ส่วนการซื้อ ที่ดินเพิ่ม 700 กว่าล้านบาท ล่าสุดจากคนนอก ส่วนนี้ SC ตั้งใจนำพื้นที่มาพัฒนาโครงการเพิ่ม เพื่อรองรับการเติบโต ในอนาคตด้วย”

          ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 2.2 หมื่นล้าน

          ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจปี 2565 ตั้งเป้ายอดขายและรายได้ อยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท โดย 2 ใน 3 จะมาจาก โครงการแนบราบ โดย 95% รายได้จะมาจากสมรภูมิเดิม และ 5% จะมาจากรายได้บนน้ำมันใหม่ของบริษัท

          ปีนี้ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 27 โครงการ โดยมีมูลค่าโดยรวมอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท กระจายทั่วกรุงเทพฯ เพื่อรองรับโครงการที่ขายหมดไปแล้วและเสริมบางที่พื้นที่ยีงมีช่องว่างอยู่

          โดย 27 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 3.3 หมื่นล้านบาท โดย 70% เป็นบ้านราคาเกิน 10 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลักและกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนยอดขายให้ โตต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้จะ เจอกับวิกฤติโควิด-19 ขณะที่อีก 2 โครงการจะเป็นคอนโด มูลค่าราว 6.5 พันล้านบาท ทั้งนี้ หากดูโครงการของเอสซีทั้งหมด มี 78 โครงการมูลค่าเกือบ 7หมื่นบาท โดยเป็นแนวราบ 70%

          ทั้งนี้ บริษัทยังตั้งเป้าในการเดินหน้า ลงทุนอย่างต่อเนื่องในปีนี้ มีแผนซื้อที่ดินเพิ่ม เพื่อนำมาพัฒนาต่อในอนาคต รวมถึงแผนการลงทุนในโรงแรมที่สหรัฐเพิ่ม รวม 1.15 หมื่นล้านบาท

          สำหรับช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 20% สะท้อนการทำโครงการที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ส่วนต้นทุนน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้ต้นทุน การก่อสร้างเพิ่มขึ้น ส่วนนี้บริษัทได้มีการวางแผนเพื่อทำสัญญาซื้อขาย สินค้าล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบจาก ราคาวัสดุต่างๆ ที่จะเพิ่มขึ้นสูงในปีนี้แล้ว ดังนั้นมองแง่ผลกระทบยังสามารถบริหารจัดการได้

ที่มา:

คลิกเครื่องหมาย เพื่อเพิ่มลงตะกร้าเก็บทรัพย์ที่สนใจ หรือกดอีกครั้งเพื่อลบออก
คลิกเพื่อเลือก บ้านที่ต้องการแล้วกดปุ่ม "เปรียบเทียบ" ได้เลย