NWR พร้อมโกยงานใหม่หนุนรายได้ ปี 65โต 30%
NWR ปี 2565 คาดมีงานภาครัฐออกมาให้ประมูลต่อเนื่อง พร้อมติดตามงาน และผลประมูลราว 39,000 ล้านบาท คาดเริ่มทยอยประกาศผลต้นไตรมาส 2/2565 หวังเติมงานเข้าบริษัทเพิ่ม 16,000 ล้านบาท โชว์แบ็กล็อกปัจจุบัน 37,700 ล้านบาท รองรับการเติบโต 3-4 ปี มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโต 30%
นายปสันน สวัสดิ์บุรี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR ผู้ประกอบธุรกิจหลักรับเหมาก่อสร้างงานวิศวกรรมโยธาทุกประเภท และผลิตเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง และผลิตภัณฑ์คอนกรีตอื่น รวมทั้งผลิตเหล็กแปรรูป ใช้เป็นวัสดุในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และจำหน่ายให้กับลูกค้าภายนอก เปิดเผยว่า แนวโน้มปริมาณงานปี 2565 ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะงานภาครัฐ ที่จะทยอยเปิดให้เข้าประมูล
ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2564 บริษัทได้รับงานก่อสร้างกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD เพื่อดำเนินการโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 2,160 วัน คิดเป็นมูลค่างานกว่า 26,560 ล้านบาท
ทั้งนี้มีสัดส่วนในการรับงาน โดยเป็นส่วนของ ITD สัดส่วน 80% คิดเป็นมูลค่า 21,248,000,000 บาท และ NWR สัดส่วน 20% คิดเป็นมูลค่า 5,312,000,000 บาท
มีงานติดตามราว 3.9 หมื่นล.
นอกจากนี้บริษัทยังมีงานที่อยู่ระหว่างติดตามอีกราว 39,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างรอผลการประมูล โดยคาดว่าน่าจะเริ่มทยอยประกาศผลในช่วงไตรมาสที่ 2/2565 ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งเป้าจะประมูลงานเข้ามาได้ไม่ต่ำกว่า 16,000 ล้านบาท จากปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) 37,700 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 2565 ประมาณ 30% โดยมูลค่างานในมือทั้งหมดจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 3-4 ปี
สำหรับการเติบโตของรายได้ปี 2565 คาดทำได้ประมาณ 30% จากปี 2564 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้รายได้ไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ และหากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มปรับตัวดีขึ้น จนสามารถเปิดประเทศได้เหมือนก่อนเกิดโควิด-19 ก็จะช่วยให้แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ ซึ่งคาดว่าจะหนุนการเติบโตของรายได้แบบก้าวกระโดดให้กับบริษัท
ด้านการแพร่ระบาด โควิด-19 โอไมครอนรอบใหม่บริษัทมองว่าไม่น่ากังวลเนื่องจากได้ผ่านสถานการณ์ในลักษณะนี้มาแล้ว ทำให้มีประสบการณ์ในการจัดการกับปัญหา รวมถึงการปรับตัวให้สามารถอยู่กับสถานการณ์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
ลุยเปิด 2 โครงการ
ในส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินการภายในบริษัท มานะ พัฒนาการ จำกัด นั้น ในปี 2565 บริษัทมีแผนจะเปิด 2 โครงการใหม่ ได้แก่ บ้านเดี่ยวรังสิต คลอง 3 มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท คาดจะเปิดขายได้ไตรมาส 2/2565 และโครงการคอนโดมิเนียม ASPEN เฟส D สูง 20 ชั้น มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท คาดจะเปิดขายได้ในไตรมาส 4/2565 หรือ ไตรมาส 1/2565
ปัจจุบันมีโครงการรอขายและทยอยโอนจำนวน 247 ล้านบาท ที่คาดว่าจะรับรู้เป็นรายได้ 146 ล้านบาทในไตรมาส 4/2564 ซึ่งหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนคลายมาตรการ LTV และลดค่าโอน ก็กระตุ้น Sentiment ของลูกค้าที่มีความต้องการซื้อบ้านอยู่แล้วให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันรายได้หลักยังมาจากงานรับเหมาก่อสร้าง 83% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 4% และบริษัทในเครือธุรกิจอาหาร
ที่มา: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น