SENA เทนเดอร์ซื้อJSP หวังเพิ่มพอร์ตแนวราบ
SENA ลั่นเข้าซื้อทำเทนเดอร์ JSP ถือเป็นกลยุทธ์เสริมศักยภาพการขยายธุรกิจ เพิ่มพอร์ตโครงการแนวราบ 40% จากปัจจุบัน 30% เหตุ JSP มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 26 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 11,000 ล้านบาท โดยเป็นแนวราบกว่า 23 โครงการ โชว์แบงก์หนุนปล่อยกู้ซื้อ JSP กว่า 1,400 ล้านบาท
นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ถึงกรณีที่คณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้เข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมของบริษัท เจ. เอส. พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เพิ่มเติม 470 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 11.19% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วของ JSP ในราคาหุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 235 ล้านบาท จากนายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล (ผู้ถือหุ้นเดิมของ JSP) ซึ่งภายหลังทำรายการจะส่งผลให้ SENA ถือหุ้น JSP เพิ่มเป็น 35.35% จากเดิมที่ถืออยู่ 24.16% และเตรียมทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) ทั้งหมดของ JSP โดย SENA จะซื้อหุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมดจำนวน 2,715,400,000 หุ้น หรือคิดเป็น 64.65% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วของ JSP ในราคาเสนอซื้อ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,357.70 ล้านบาทว่า การตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้นของ JSP ในครั้งนี้ ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการประเภทแนวราบได้มากขึ้น
โดยการลงทุนครั้งนี้บริษัทเชื่อว่าจะเป็นการการทำงานร่วมกัน (synergy) ที่ดี ระหว่าง SENA กับ JSP ซึ่งทาง JSP มีโครงการประเภทแนวราบจำนวนมาก ขณะที่ทาง SENA ก็ต้องการขยายพอร์ตโครงการประเภทแนวราบให้มากขึ้น การลงทุนครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจของบริษัท
ทั้งนี้ ปัจจุบัน SENA มีสัดส่วนโครงการประเภทแนวราบในพอร์ตประมาณ 30% และเป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียมเกือบ 70% ซึ่งหลังจากที่รวมกับ JSP แล้ว สัดส่วนโครงการประเภทแนวราบจะเพิ่มขึ้นเป็น 40% ขณะที่สัดส่วนคอนโดมิเนียมจะลดลงอยู่ที่ประมาณ 60% ขณะที่ปัจจุบัน JSP มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนารวม 26 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการประเภทแนวราบ 23 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 2-3 โครงการ
สำหรับประโยชน์ที่บริษัทคาดว่าจะได้รับจากการเข้าลงทุนใน JSP คือ 1.จะช่วยสนับสนุนและต่อยอดธุรกิจหลัก ซึ่งการเข้าซื้อหุ้นสามัญของ JSP เป็นการเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงการเป็นบริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม โดยบริษัทสามารถต่อยอดโครงการระหว่างการพัฒนาของ JSP ได้รวดเร็วกว่าการที่บริษัทเริ่มพัฒนาโครงการใหม่ตั้งแต่ต้น ทำให้สามารถร่นระยะเวลาในช่วงการเริ่มต้นพัฒนาโครงการไปได้ และสามารถรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวได้ทันที นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ก่อให้เกิดการประหยัดจากขนาด (Economy of scales)
2.จะช่วยต่อยอดธุรกิจที่สนับสนุนธุรกิจหลักของ SENA ซึ่งถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการต่อยอดธุรกิจให้บริการที่สนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทได้ดำเนินการอยู่แล้วด้วย เช่น การรับจ้างบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ การให้บริการบริหารนิติบุคคล การให้บริการตัวแทนขาย การให้บริการติดตั้งแผงโซลาร์ และการให้บริการทำสื่อโฆษณา และ 3.จะช่วยเพิ่มผลตอบแทน ซึ่งบริษัทจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผล และเนื่องจาก JSP มีผลขาดทุนในอดีต (tax loss carry Forward) บริษัทมองเห็นโอกาสที่จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการบริหารภาษีต่อไปในอนาคตได้
ส่วนแหล่งเงินทุนที่บริษัทจะนำมาใช้ในการลงทุนซื้อหุ้น JSP ในครั้งนี้ บริษัทได้รับวงเงินกู้สนับสนุนจากสถาบันการเงิน เป็นวงเงินจำนวน 1,400 ล้านบาท และมาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท เพื่อใช้ในการชำระมูลค่าหุ้นสามัญ JSP ทั้งจำนวนที่บริษัทได้มาจากการทำรายการในครั้งนี้
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น