แบงก์เร่งปรับโครงสร้างหนี้ คาดสิ้นปียอดแตะ 1 ล้านล้าน

29 ธ.ค. 2564 429 0

          แบงก์เร่งเครื่องปรับโครงสร้างหนี้ ลดผลกระทบโควิด หวังช่วยลูกหนี้ให้อยู่รอดระยะยาว “ไทยพาณิชย์“ตั้งเป้าช่วยลูกหนี้สิ้นปีหน้า 5 แสนล้าน เครดิตบูโรคาดยอดปรับหนี้ปีนี้แตะ 1 ล้านล้าน

          นายมาณพ เสงี่ยมบุตร รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แม้ปัจจุบัน คุณภาพสินเชื่อ หรือทิศทางหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลของธนาคาร ไม่ได้เร่งตัวขึ้นมากนัก และถือว่าปรับตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยอยู่ที่ระดับ 3.9% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยหากเทียบกับต้นปีที่ผ่านมา ที่อยู่ที่ 3.7% ซึ่งต่ำกว่าประมาณการที่คาดไว้เดิมที่คาดเร่งตัวสูงถึง 4-4.5%

          แต่หนี้เสีย และคุณภาพหนี้ ก็เป็นสิ่งที่ธนาคารต้องดูแลอย่างใกล้ชิด โดยการเร่งดูแลลูกหนี้อย่าง ต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับเอ็นพีแอลให้อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ดังนั้นสิ่งที่ธนาคารจะทำต่อเนื่อง คือ การเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ระยะยาว ตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ออกมาเมื่อ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา

          โดยเฉพาะการเข้าไปปรับโครงสร้างหนี้ ลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือของธนาคาร ให้สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว และให้สอดรับกับรายได้และความสามารถชำระหนี้ในระยะข้างหน้า โดยธนาคารตั้งเป้าในการเข้าไปปรับโครงสร้างหนี้ ให้ ลูกหนี้ของธนาคาร จนถึงปี 2566 ที่ 5 แสนล้านบาท ตามมาตรการธปท.

          ซึ่งจะมาจากลูกหนี้ในพอร์ตของธนาคาร ที่เข้าสู่มาตรการช่วยเหลือแล้ว 4.6 แสนล้านบาท ที่ธนาคารจะเข้าไปช่วยปรับโครงสร้างหนี้ไปสู่มาตรการแก้หนี้ระยะยาวมากขึ้นเพิ่มเติมจากมาตรการช่วยเหลือ ในปัจจุบัน ที่มีทั้งพักหนี้ ยืดชำระหนี้ ลดการผ่อนชำระต่างๆ

          ขณะที่อีกส่วนจะมาจากลูกหนี้ของธนาคาร ที่อยู่ภายใต้การช่วยเหลือในช่วงที่ผ่านมา และออกจากโครงการไปแล้วในปัจจุบัน แต่ยังต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม จากผลกระทบจากโควิด-19 ที่เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้คาดว่ากลุ่มนี้น่าจะเข้าสู่มาตรการระยะยาว เพิ่มขึ้นด้วย

          “วันนี้ ธนาคารมีลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้มาตรการ 4.6 แสนล้านบาท ลดลงหากเทียบกับช่วงเกิดโควิดใหม่ๆ ที่ยอดการขอรับช่วยเหลือสูงถึง 8.4 แสนล้านบาท และคาดการณ์ระยะข้างหน้า ยอดการขอรับการช่วยเหลือจะลดลงต่อเนื่องในปีหน้า และที่ธนาคารเร่งทำ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ระยะยาว คือ ปรับโครงสร้างหนี้ หรือแก้หนี้ ระยะยาว ให้ลูกหนี้อยู่รอดใน ช่วง 1-2 ปีข้างหน้า หรือมากกว่านั้น โดยตั้งเป้าเข้าไปปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้ จากมาตรการระยะสั้น ในปัจจุบันราว 5 แสนล้านบาท ในช่วง 2ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้แบงก์สามารถดูแลลูกหนี้ได้ และคุมหนี้เสียให้อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้”

          สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว หรือแก้หนี้ระยะยาว ธนาคารได้เริ่มทยอยทำแล้ว ตั้งแต่ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา และคาดว่าไตรมาส 4 จะเห็นยอดการแก้หนี้ระยะยาวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

          ทั้งนี้การแก้หนี้ระยะยาว ธนาคารจะดูเป็นรายกรณี รายอุตสาหกรรม รวมถึงผลกระทบของแต่ละ ลูกหนี้ว่ามากน้อยแค่ไหน ซึ่งบางราย อาจเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ ระยะยาว 5-10 ปีได้ เช่น ธุรกิจโรงแรม

          “การช่วยเหลือผ่านมาตรการแก้หนี้ระยะยาว หรือการปรับโครงสร้างหนี้ สามารถทำได้หลายด้าน เช่นการช่วยลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้มียอดหนี้ลดลง และมีความสามารถชำระหนี้ เพิ่มขึ้น ส่วนนี้แบงก์ก็ต้องยอมสูญเสียรายได้ดอกเบี้ย เพื่อมาดูแล ลูกหนี้ เพราะหวังว่าในระยะยาวเกิน 5 ปีไปแล้วลูกหนี้กลุ่มนี้น่าจะดีขึ้น และไม่กลับมาปรับโครงสร้างหนี้ซ้ำซ้อนอีก และลูกหนี้บางส่วนที่เรารู้ว่าไปไม่รอด แบงก์ก็มีการตี และรับรู้เป็นเอ็นพีแอลไปแล้ว 1 ใน 3 ของพอร์ตด้วยเพื่อลด ความเสี่ยงในอนาคต”

          กสิกรชี้แบงก์ปรับโครงสร้าง

          นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า หากดูยอดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบของแบงก์ 29 แห่งในปัจจุบัน พบว่าเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยก่อนหน้าเกิดโควิด-19 การปรับโครงสร้างหนี้ของแบงก์ ให้กับลูกหนี้ ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ระยะสั้นระยะยาวต่างๆ เฉลี่ยต่อปี เพิ่มขึ้น 8-8.3 หมื่นล้านบาท

          แต่ตั้งแต่เกิดโควิด-19 แบงก์ มีการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้เพิ่มขึ้น เฉลี่ยต่อปี 8.5-9 หมื่นล้านบาทต่อปี ภายใต้การคาดการณ์หนี้เสียของทั้งระบบที่คาดสิ้นปีนี้จะ เพิ่มเป็น 3.2 % และสิ้นปีหน้า 3.3% ดังนั้นคาดว่ายอดการปรับโครงสร้างหนี้ปีหน้า จะเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 9.5 หมื่นล้านบาทต่อปี

          “เรามองการปรับโครงสร้างหนี้ยังเร่งตัวขึ้นต่อ ซึ่งมาตรการธปท.ที่ออกมาถือว่าช่วยลูกหนี้ได้มาก เพราะเป็นการมองภาพไกลกว่านี้ในการช่วยเหลือลูกหนี้ สอดคล้อง กับสถานการณ์ของลูกหนี้ จากผล กระทบโควิด-19 เพราะลูกหนี้ ฟื้นตัวไม่เท่าเทียมกัน ดังนั้นคาดว่า การปรับโครงสร้างหนี้จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง”

          สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ แบ่งเป็นธุรกิจและสินเชื่อรายย่อย พบว่า ธุรกิจ มีการปรับโครงสร้างหนี้เฉลี่ยปีก่อนอยู่ที่ 1.35 หมื่นล้านต่อไตรมาส ขณะที่ 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปีนี้ แบงก์มีการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 หมื่นล้านบาทต่อไตรมาส สะท้อนการช่วยเหลือภาคธุรกิจที่เป็นระยะยาวมากขึ้น

          ขณะที่สินเชื่อรายย่อย มีการปรับโครงสร้างหนี้ปีก่อนหน้าอยู่ที่ 7.8 พันล้านบาทต่อไตรมาส แต่ปีนี้ มาเป็น 7 พันล้านบาทต่อไตรมาสลดลง แต่ยังสูงหากเทียบกับก่อนโควิด-19

          สำหรับลูกหนี้ที่เข้าสู่มาตรการช่วยเหลือธปท. ล่าสุด ณ ต.ค. อยู่ที่ 2.41 ล้านบัญชี หรือคิดเป็นยอดหนี้ 2.13 ล้านล้านบาท

          แลนด์แบงก์ช่วยกลุ่มท่องเที่ยว

          นางสาวชมภูนุช ปฐมพร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank กล่าวว่า ธนาคารประเมินแนวโน้มลูกหนี้ที่จะเข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้ปี 2565 จะลดลงจากปีนี้ ที่มีลูกหนี้เข้ารับการช่วยเหลือมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท หรือ 29% ของพอร์ต สินเชื่อรวม

          โดยเป็นลูกหนี้รายย่อย ประมาณ 1,220 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการ ปรับตัวลดลงจากช่วงพีค 5.9 หมื่นล้านบาท หรือ 36% ของพอร์ต สินเชื่อรวม

          ทั้งนี้ เนื่องจากลูกหนี้ของธนาคารส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ที่มีรายได้สูงและมีวินัยในการชำระเงิน จึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบและไม่ต้องการยืดเวลาชำระหนี้

          อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าโควิด-19 ยังเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการกลับมาชำระหนี้ของลูกหนี้กลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มลูกหนี้ธุรกิจที่อยู่ในภาคการท่องเที่ยว หากโควิด-19 มีความเสี่ยงกลับมาระบาดรุนแรง หรือภาครัฐใช้มาตรการที่ส่งผล ให้การเดินทางชะงักงัน จะส่งผล กระทบต่อลูกหนี้ในกลุ่มดังกล่าวโดยตรง ซึ่งอาจส่งผลให้ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการในปีหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้น

          “ธนาคารยังเชื่อว่าหากไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ระลอกใหม่ จำนวนลูกหนี้ที่เข้าโครงการจะ ไม่เพิ่มขึ้น แต่หากมีระลอกใหม่ คาดว่าจะมีการขอความช่วยเหลือเข้ามาในส่วนของลูกหนี้รายย่อย สินเชื่อบ้าน ส่วนสินเชื่อธุรกิจอาจ มีส่วนของภาคธุรกิจโรงแรม แต่คาดว่าจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างมี นัยสำคัญ เพราะธนาคารได้ให้ ความช่วยเหลือโดยคำนึงถึงการฟื้นตัวที่ค่อยเป็นค่อยไปแล้ว ซึ่งการฟื้นตัวภาพรวมน่าจะค่อยๆ กระเตื้องดีขึ้น”

          ยอดปรับโครงสร้างจ่อแตะ1ล้านล้าน

          นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร กล่าวว่า หากดูลูกหนี้ ที่อยู่ภายใต้การปรับโครงสร้างหนี้ในปัจจุบัน พบว่ายังเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง ภายใต้ ผลกระทบจากโควิด-19 และ การเร่งเข้าไปดูแลของสถาบัน การเงิน และนอนแบงก์ ในการดูแลลูกหนี้ผ่านมาตรการแก้หนี้ระยะยาว ทำให้ยอดการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้น

          โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ยอดการปรับโครงสร้างหนี้ บนข้อมูลของเครดิตบูโร จากสินเชื่อคงค้างที่ 12.5 ล้านล้านบาท พบว่า ในนี้ เข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้แล้ว 8.5 แสนล้านบาท โดยคาดว่า ณ สิ้นปีนี้จะเห็นการปรับโครงสร้างหนี้สู่ 1 ล้านล้านบาท

          ดังนั้นการปรับโครงสร้างหนี้จะเป็นโจทย์สำคัญ ที่จะช่วยพยุงลูกหนี้และหนี้เสียในระบบไม่ให้เพิ่มมาก ขึ้นอยู่กับว่าทำมาตรการเชิงป้องกันได้เร็วแค่ไหนอันนี้ก็เป็นความหวัง และความกดดันสำหรับแบงก์ในระยะข้างหน้า

          “เราเชื่อว่าการปรับโครงสร้างหนี้จะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะมีบางส่วน ที่ธนาคารเข้าไปช่วยเหลือผ่านการยืดหนี้ออกไป และยังไม่ปรับมาตรการไปสู่การปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว ดังนั้นจะมีบางส่วนที่ยังไม่เข้าสู่มาตรการที่อาจเข้ามาในอนาคตได้ แต่ แม้ว่านี้มีมาตรการช่วยเหลือต่างๆ แต่ ยอดปรับโครงสร้างหนี้ก็ยังเพิ่มขึ้น ดังนั้นเหล่านี้คือความน่ากลัว กลุ่มที่เราห่วงเช่น กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาท และกลุ่ม รายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท ที่ยังเป็นกลุ่มเปราะบางด้านรายได้ เมื่อถูกผลกระทบ”

ที่มา:

คลิกเครื่องหมาย เพื่อเพิ่มลงตะกร้าเก็บทรัพย์ที่สนใจ หรือกดอีกครั้งเพื่อลบออก
คลิกเพื่อเลือก บ้านที่ต้องการแล้วกดปุ่ม "เปรียบเทียบ" ได้เลย