บีทีเอสขายอสังหา 2 หมื่นล้าน
หันหัวเรือสู่การเงิน-สินทรัพย์ดิจิทัล
นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทบีทีเอสกรุ๊ปโฮลดิ้งส์จำกัด(มหาชน)หรือBTS เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจของ บมจ.ยูซิตี้ (U) หลังตั้งเป้าเปลี่ยนธุรกิจหลักจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และเป็นเจ้าของเชนธุรกิจโรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไปทำธุรกิจการเงิน (ไฟแนนซ์) ว่า หลังเกิดวิกฤติโควิด-19 เราคิดว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องในสถานการณ์ตอนนี้ โดยมองว่าธุรกิจอสังหาฯ อาจต้องใช้เวลาในการฟื้นกลับมาอีกนาน จึงตัดสินใจที่จะหันไปลงทุนในธุรกิจใหม่ทันที โดยได้คำตอบว่าต้องไปที่ธุรกิจไฟแนนซ์ ซึ่งกลุ่มบีทีเอสทั้งหมดมีเงินทุนหรือเงินสดในมือมากกว่า 30,000 ล้านบาท จึงพร้อมลงทุนใหม่เพื่อหาโอกาส
ดังนั้น จึงตัดสินใจเข้าไปลงทุนซื้อหุ้น บมจ.เจมาร์ท (JMART) และบริษัทในเครือเพราะเจมาร์ทได้วางรากฐานของธุรกิจการเงินไว้แล้วและมีแผนที่จะเติบโตขยายธุรกิจไปอีกมาก โดย U ได้เข้าซื้อหุ้น JMART ที่ราคาหุ้นละ 30.3370 บาท และซื้อหุ้น บมจ.ซิงเกอร์ (ประเทศไทย)(SINGER) ที่ราคาหุ้นละ 36.3005 บาท ผ่านไปไม่เท่าไรปัจจุบันราคาหุ้นJMART และ SINGER ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับกว่า 50 บาทต่อหุ้น
“ได้หุ้นมาไม่กี่วันก็มีกำไรจากการลงทุนกลับมาแล้วกว่า 6,000 ล้านบาท จากปี 63 ที่เกิดวิกฤติโควิด U มีผลขาดทุนสูงถึง 6,610.75 ล้านบาท แม้จะเป็นการกำไรทางบัญชี เพราะเราไม่ได้ขายหุ้น U ออกมา แต่มูลค่าเงินลงทุนก็เพิ่มขึ้นแล้วดีกว่าลงทุนอสังหาริมทรัพย์ตอนนี้ที่มีแต่ค่าใช้จ่ายและมีแต่จะขาดทุนทุกวัน”
นายกวินกล่าวต่อว่า ล่าสุดได้ขายโรงแรมและสิทธิในแบรนด์โรงแรม “เวียนนาเฮ้าส์” ในยุโรปตะวันออกไปมูลค่า 5,229 ล้านบาท มีกำไรจากการขายโรงแรมประมาณ 200-300 ล้านบาท และมีแผนจะขายอสังหาริมทรัพย์ในมือทั้งหมดที่มีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท เช่น โรงแรมในไทยและยุโรปที่ดินเปล่า, คอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์ให้เช่า เป็นต้น ซึ่งจะทำให้เรามีเงินทุนอีกจำนวนมาก เพื่อขยายลงทุนในธุรกิจที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า ซึ่งเรามองแล้วว่าเป็นธุรกิจการเงิน แต่ในอนาคตก็อาจกลับมาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ได้ หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้นแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาของอสังหาริมทรัพย์
นายกวินยังกล่าวถึงสาเหตุที่เลือกเข้าไปลงทุนในกลุ่มเจมาร์ทว่าเพราะต้องการรุกด้านการเงิน นอกจากนี้ กลุ่มบีทีเอสยังขาดคนที่รู้เรื่อง เชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโตเคอร์เรนซีบล็อกเชน และ NFT ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลก ซึ่งกลุ่มเจมาร์ทเป็นบริษัทเดียวของไทยที่มีการออกเหรียญดิจิทัล โทเคน “เจฟินคอย์” โดยกลุ่มเจมาร์ทจะเข้ามาเติมเต็มอีโคซิสเต็มของกลุ่มบีทีเอส ซึ่งช่วงต้นปี 65 จะได้เห็นกลุ่มบีทีเอสรับเหรียญเจฟินคอย์ชำระค่าบริการหรือต่อยอดธุรกิจกันในด้านอื่นได้ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างทำระบบเพื่อรองรับ
ทั้งนี้ กลุ่มบีทีเอสที่ประกอบด้วย บมจ.วีจีไอ, ยูซิตี้ จะดำเนินธุรกิจด้านไฟแนนซ์ เซอร์วิส เช่น ธุรกิจประกัน, ปล่อยกู้สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์และมีแผนขยายการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดยูซิตี้ได้เข้าไปซื้อหุ้น 75% ในบริษัทแอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALIFE มูลค่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรีแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและทดลองเอาสินค้าประกันไปให้วีจีไอช่วยขายในช่องทางออนไลน์
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ