บ้านสร้างเอง 8-100 ล.โตกระฉูด ลูกค้าเร่งตัดสินใจสร้างหนีต้นทุนใหม่
อสังหาริมทรัพย์
ไม่สนโควิด-19หลังราคาวัสดุก่อสร้างพุ่งไม่หยุด
ท่ามกลางสถานการณ์ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สร้างความผันผวนและผลกระทบอย่างหนักให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย และธุรกิจต่างๆ ที่หดตัวต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบถึงสองเด้ง จากการหายไปของดีมานด์ต่างชาติที่หายไปจากการล็อกดาวน์ประเทศ และกำลังซื้อผู้บริโภคในประเทศที่ลดลง ทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อ จนมีผลให้ดีมานด์ในประเทศหดตัวที่ตามมา
ในขณะที่ตลาดอยู่อาศัย ประเภทโครงการจัดสรรคอนโดมิเนียมยังชะลอตัวอยู่จนถึงขณะนี้ แต่ตลาดบ้านสร้างเอง หรือตลาดรับสร้างบ้าน ซึ่ง เป็นหนึ่งในเซกเมนต์ตลาดอสังหาฯ กลับมีทิศทาง ที่ขยายตัวสวนทางกับตลาดบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านระดับกลาง-บน ระดับราคา 8 ล้านบาทขึ้นไปจนถึงหลัก ราคา 100 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการขยายตัวดีต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 64 จนถึงปลายปี และยังมีแนวโน้มจะขยายตัวต่อเนื่องในปี 65 ที่จะถึงนี้
โดยปัจจัยหลักที่หนุนส่งให้ตลาดรับสร้างบ้านขยายตัวต่อเนื่องในปี 64 คือ แนวโน้มการปรับตัวของราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวอย่างรวดเร็วในปีนี้ ประกอบกับการขยายฐานลูกค้าออกไปสู่ตลาดต่างจังหวัดของผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน นอกจากนี้ การชะลอตัวของธุรกิจต่างๆ ทำให้เจ้าของธุรกิจในต่างจังหวัดมีเวลาว่างและหันมาตัดสินใจสร้างบ้านอย่างจริงจังหลังจากที่มีแผนจะก่อสร้างบ้านแต่ต้องชะลอเวลาออกไป เพราะภารกิจรัดตัวจนไม่มีเวลาในการพิจารณาเลือกแบบบ้าน และสร้างบ้านได้อย่างจริงๆ จังๆ
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท พีดีเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ให้ บริการแฟรนไชส์รับสร้างบ้าน “พีดีเฮาส์” กล่าวว่า ในปีนี้ตลาดรับสร้างบ้านโดยรวมไม่ได้เติบโตจาก ปีก่อนมากนักแทบจะทรงตัวด้วยซ้ำไป แต่มีตลาดในบางเซกเมนต์ที่ขยายตัวชัดเจนมากกว่าเพื่อน คือ กลุ่มบ้านสร้างเองระดับราคา 8 ล้านบาทขึ้นไป ถึงบ้านสร้างเองระดับราคาหลัก 100 ล้านบาท โดยกลุ่มบ้านในตลาดรวมระดับราคาเฉลี่ย 10-15 ล้านบาทเป็นกลุ่มที่มีการขยายตัวมากที่สุด ขณะที่กลุ่มบ้านราคา 10-20 ล้านบาทเป็นกลุ่มสินค้าของพีดีเฮ้าส์ขยายตัวมากที่สุด
โดยปัจจัยที่ทำให้บ้านระดับราคา 10-20 ล้านบาท ของพีดีเฮ้าส์ขายดี คือ การขยายฐานลูกค้า ตลาดระดับบนในต่างจังหวัดของบริษัท ซึ่งเป็น การปรับตัวหนีการแข่งขันในตลาดล่างที่แข่งขันสูง โดยเฉพาะการแข่งขันด้านสงครามราคา ในตลาดระดับราคา 1-2 ล้านบาท ภายหลังจากการเปิดตัวของบริษัทรับสร้างบ้านในท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการจากส่วนกลางเผชิญการแข่งขันรุนแรง เพราะไม่สามารถลดมาตรฐานวัสดุก่อสร้างมาแข่งราคากับผู้ประกอบการท้องถิ่นได้
ดังนั้น การปรับตัวขยับเข้าไปเล่นในตลาดบ้านระดับกลางราคา 3-5 ล้านบาท ตลาดบ้านรับ กลาง-บน 5-10 ล้านบาท รวมถึงตลาดบ้านระดับ บน-พรีเมียม 10-30 ล้านบาท จึงเป็นการปรับตัว ครั้งใหม่ของผู้ประกอบการจากส่วนกลาง ซึ่งปรากฏว่าได้รับผลการตอบรับที่ดีมากจากตลาดต่าง จังหวัด โดยเฉพาะตลาดโซนภาคตะวันออก ในจังหวัดระยอง ชลบุรี ภาคอีสานในจังหวัดนครราชสีมา สระบุรี ขอนแก่น อุดรธานี ร้อยเอ็ด และจังหวัดปริมณฑล ทำให้สาขาในพื้นที่จังหวัดดังกล่าวมี ยอดขยายเติบโตมากเป็นพิเศษ
“ปัจจัยที่ทำให้ตลาดบ้านสร้างเองระดับราคา 8-100 ล้านบาทขยายตัวดีได้ในต่างจังหวัด คือ ความเชื่อมั่นในมาตรฐานก่อสร้าง คุณภาพงานก่อสร้าง ประสบการณ์แบรนด์และผลงานที่ผ่านมาของบริษัทขนาดใหญ่จากส่วนกลาง ซึ่งบริษัทรับสร้างบ้านในท้องถิ่นไม่มี นอกจากนี้ การขยายไลน์ในธุรกิจออกแบบและตกแต่งภายใน บริการออกแบบและปรับแบบบ้านให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าของพีดีเฮ้าส์ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกค้าเลือกสร้างบ้านกับบริษัทมากขึ้น เนื่องจากมีบริการแบบ One Stop Service แบบเหมารวม ช่วยให้ลูกค้าลดต้นทุนออกแบบและก่อสร้าง 5-10%” นายสิทธิพร กล่าว
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดระดับกลาง-บน ถึงตลาดบ้านระดับพรีเมียมในต่างจังหวัดขยายตัวดีคือ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ซึ่งทำให้ธุรกิจต่างๆ ชะลอตัวลง ทำให้เจ้าของธุรกิจในต่างจังหวัดมีเวลาว่างมากขึ้น และหันมาพิจารณาเรื่องการสร้างบ้านอย่างจริงๆ จังๆ จากเดิมที่เคยมีแผนจะก่อสร้างบ้านหลังใหม่ เคยติดต่อ บริษัทรับสร้างบ้านและขอแบบบ้านไปพิจารณา แต่ต้องชะลอแผนการก่อสร้างออกไปอยู่เนืองๆ เพราะธุรกิจรัดตัวจนไม่มีเวลาว่าง
โดยเจ้าของธุรกิจกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่มีเงินเก็บและมีเงินเย็นไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการ ชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้ตัดสินใจสร้างบ้านได้ทันที แม้อยู่ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเจ้าของธุรกิจใหม่ หรือเศรษฐีใหม่ที่ประสบความสำเร็จจากธุรกิจนำเข้าสินค้าต่างประเทศมาขายในประเทศ เช่น กลุ่มเจ้าของบริษัทนำเข้า สินค้าทุกอย่าง 20 บาท ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีอัตราการขยายตัวดีมาก เพราะเป็นสินค้าในครัวเรือนที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ที่มีราคาต่ำสอดคล้องกับกำลังซื้อที่ลดลงของผู้บริโภคในช่วงเศรษฐกิจหดตัว
นายสิทธิพร กล่าวว่า นอกจาก 2 ปัจจัยที่กล่าวมาแล้ว การปรับตัวของราคาวัสดุก่อสร้างอย่าง รวดเร็วในปี 64 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าในตลาดระดับบนตัดสินใจสร้างบ้านเร็วขึ้นเพื่อหนี ต้นทุนก่อสร้างใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดยในปีที่ผ่านมา ราคาวัสดุก่อสร้างแทบทุกตัวปรับสูงขึ้นตลอดปี โดยเฉพาะราคาเหล็ก โครงสร้างเหล็ก โครงหลังคาเหล็ก ซึ่ง ปรับตัวรวมๆ กว่า 30-50% ขณะที่กลุ่มวัสดุตกแต่งภายใน พื้น ผนัง สี ประตู หน้าต่าง ก็ปรับตัวสูงขึ้นทุกตัว มีเพียงปูนซีเมนต์เท่านั้นที่ยังคงราคาเดิม
สำหรับแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในปี 65 คาดว่าตลาดรวมรับสร้างบ้านจะยังขยายตัวต่อจาก ปีนี้ แต่ปัจจัยที่น่ากังวล คือ การปรับตัวของราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น ซึ่งแม้ว่าขณะนี้ ผู้ประกอบการ วัสดุก่อสร้างจะยังไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้อีก เพราะกังวลเรื่องกำลังซื้อของผู้บริโภคที่หดตัวลง แต่หากเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้ดีในปีหน้า และมีผลต่อกำลังซื้อที่ดีขึ้น อาจมีผลต่อการพิจารณาปรับตัวราคาวัสดุก่อสร้างในปีหน้าได้
“สิ่งที่น่ากังวลของผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน คือ ต้นทุนที่วัสดุก่อสร้างรวมที่อาจจะปรับตัวขึ้นในปีหน้า โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก ที่มีวอร์รูม การสั่งซื้อต่ำทำให้อำนาจการต่อรองกับซัปพลายเออร์น้อย เพราะหากมียอดจองสร้างบ้านเข้ามาจำนวนมากๆในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาวัสดุก่อสร้างยังไม่ปรับขึ้นทำให้ต้องขายในราคาต้นทุนเดิม เมื่อถึงปีหน้าหากวัสดุก่อสร้างปรับราคาขายขึ้น จะส่งผลให้ผู้ประกอบการรายเล็กต้องแบกรับต้นทุนก่อสร้างใหม่ไว้เอง ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่มีวอร์รูมสินค้าจำนวนมาก ทำให้มีอำนาจการต่อรองสูง สามารถคุยกับ ซัปพลายเออร์เพื่อล็อกราคาวัสดุก่อสร้างล่วงหน้า ไว้ได้ ทำให้ยังสามารถรักษากำไรไว้ได้ และไม่มีปัญหาการคุมต้นทุนวัสดุก่อสร้างในอนาคต” นายสิทธิพรกล่าว
นอกจากนี้ สิ่งที่ทุกฝ่ายกังวลและไม่ต้องการให้เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง คือ ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ระลอกใหม่ในปีหน้า เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการบอบช้ำมามากแล้ว แต่หากเลี่ยงไม่ได้สิ่งที่จะเกิดเร็วขึ้นคือ การขยายตลาดออกไปสู่ตลาดต่างจังหวัดของผู้ประกอบการจากส่วนกลาง ซึ่งเป็นการปรับตัวเพื่อหาดีมานด์ใหม่ๆ เข้ามาทดแทนตลาด กทม.และปริมณฑล ซึ่งจะเป็นพื้นที่แรกๆ ที่มีโอกาสในการแพร่ระบาดมากกว่าพื้นที่ต่างจังหวัด
ขณะเดียวกันการทำตลาดแบบออนไลน์จะ ถูกนำมาใช้มากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับการขยายตลาด ในต่างจังหวัด เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ประกอบการ วัสดุก่อสร้างที่มีการปรับตัวขยายฐานตลาดไปสู่ตลาดต่างจังหวัดด้วยรูปแบบโมเดิร์นเทรดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการขยายตลาดของผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างในรูปแบบโมเดิร์นเทรดนี้ มีส่วนช่วยให้บริษัทรับสร้างบ้านจากส่วนกลางควบคุมต้นทุนก่อสร้าง และแข่งขันกับผู้ประกอบการท้องถิ่นได้มากขึ้น
นายอนันต์กร อมรวาที กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์แปลน 101 จำกัด ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านตลาดระดับพรีเมียม กล่าวว่า ตลาดบ้านสร้างเองระดับพรีเมียมไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างที่หลายฝ่ายกังวลเนื่องจากลูกค้ายอมรับและเข้าใจกับสถานการณ์ได้แล้ว ทำให้ลูกค้าในตลาดดังกล่าวกลับมาตัดสินใจก่อสร้างบ้านตั้งแต่ช่วงต้นปี 64 และมีการขยายตัวมากขึ้นในช่วงกลางปี จากการตัดสินใจก่อสร้างบ้านของกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในพื้นที่โซน กทม.-ปริมณฑล รวมไปถึงกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการขยายตัวดีมาก
ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดบ้านรับสร้างบ้านในปี 65 คาดว่าจะขยายตัวได้ดีต่อจากปี 64 เนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลดีกับความเชื่อมั่นและการตัดสินใจซื้อของลูกค้า รวมถึงการขยายตัวของธุรกิจต่างๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรระวังสำหรับผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน คือ ปัญหา การปรับตัวของราคาวัสดุก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าในปีนี้ อาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน โดยคาดว่าในปีหน้าต้นทุนวัสดุก่อสร้างโดยรวมจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5% ขณะที่ตลาดรวมจะขยายตัวอยู่ที่ 5% เช่นกัน
การปรับตัวของราคาวัสดุก่อสร้างในปีนี้ และยังมีแนวโน้มว่าปีหน้าจะยังปรับตัวขึ้นไปอีก ทำให้ตลาดรับสร้างบ้านในปี 65 มีปัจจัยเร่งลูกค้าให้ ตัดสินใจสร้างบ้านเร็วขึ้น ขณะที่ต้นทุนใหม่ที่สูงขึ้นอาจทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กต้องประสบปัญหาการบริหารจัดการต้นทุนลำบากขึ้น ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่จากส่วนกลาง อาจมีข้อได้เปรียบจากอำนาจต่อรองที่ดีกว่าทำให้ในปีหน้า ตลาดบนซึ่งเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ครองตลาดอยู่มีการขยายตัวได้ดีกว่าตลาดล่างอีกปี
ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา