BTSหลอมรวมJMART ปลุกเหรียญเจฟินคอยน์ "กวิน"ลั่นพอแล้วอสังหาฯ เบนเข็มสู่ธุรกิจการเงิน
กลุ่ม BTS หลอมเนื้อเดียวกับ JMART จับตาโปรเจ็กต์แรกนำ “JFIN Coin” มาใช้ในเครือข่ายของบีทีเอสกรุ๊ป เริ่มไตรมาส 1/2565 ด้าน “กวิน กาญจนพาสน์” เผย “ยู ซิตี้ (U) ทิ้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พร้อมหันลุย Financial Investments are หรือธุรกิจการลงทุนทางการเงินเต็มตัว ด้าน “เจมาร์ท” คงเป้าปี 65-67 กำไรเติบโตปีละ 50% ยังไม่รวมรายได้ที่จะเกิดขึ้นจากการเป็นพันธมิตรกับทางบีทีเอส
นายกวิน กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม BTS กล่าวว่า การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับทาง บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART นั้น การ Synergy ร่วมกันในช่วงต่อจากนี้ คาดว่าจะได้เห็นการขยายฐานลูกค้า การขยายผลิตภัณฑ์และบริการในเครือของ JMART ร่วมกันไปสู่สินค้าสำหรับผู้บริโภค การประกันภัย รวมไปถึงเทคโนโลยีและการให้บริการ O2O โซลูชั่นส์ ของ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ผ่านแพลตฟอร์มธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์
ในแง่ของผลิตภัณฑ์ Jaymart Mobile จะสามารถนำเสนอสินค้าเทคโนโลยีต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์มของ VGI ที่มีความแข็งแกร่ง และเพิ่มจุดให้บริการ (Service Point) บนสถานีรถไฟฟ้า รวมถึงการใช้เครือข่ายสื่อโฆษณา และการขนส่งสินค้าผ่านบริษัทในกลุ่ม VGI ขณะที่ VGI สามารถขยายช่องทางการจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Fanslink ผ่านพื้นที่ค้าปลีกของกลุ่ม JMART มากยิ่งขึ้น
ในแง่ของช่องทางการจัดจำหน่าย บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SINGER ถือเป็นเบอร์หนึ่งในการเข้าถึงลูกค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยในปัจจุบันมีหน้าร้านที่แบ่งออกเป็นสาขาและเฟรนไชส์กว่า 2,000 แห่ง นอกจากช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านร้านขายสินค้าเทคโนโลยีอย่าง Jaymart Mobile ยังมีบริษัทในเครือที่คอยเป็นตัวแทนของเครือข่ายในการกระจายสินค้าเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย โดยหากผสานกับ บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (KEX) จะเป็นการเพิ่มช่องทางและโอกาสในการต่อยอดธุรกิจโลจิสติกส์ในเครือ JMART ได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นทางด้านเทคโนโลยีทางการเงิน “บล็อกเชน” รวมทั้งการศึกษาด้านดิจิทัลโทเคน เป็นโอกาสในการนำ “โทเคน” J Fin มาใช้ภายในเครือข่ายของกลุ่ม BTS คาดว่าจะเริ่มในไตรมาส 1/2565 จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเติมเต็มอีโคซิสเต็มของ JMART ให้สมบูรณ์ สำหรับการทำธุรกรรมต่าง ๆ รวมถึงการใช้งานแทนเงินสด ซึ่งจะช่วยสร้างอีโคซิสเต็มทางธุรกิจที่ครบวงจร พร้อมผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อเข้าสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งหมดนี้จะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่จะเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่ครอบคลุมที่สุด เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์และปรับปรุงบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกรูปแบบ
“นี่เป็นความร่วมมือภายใต้กลุ่ม MATCH ของเรา VGI และ ยู ซิตี้ ลงทุนมูลค่ากว่า 1.75 หมื่นล้านบาทด้วยความตั้งใจร่วมเป็นพันธมิตรในระยะยาว เพื่อช่วยสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกัน เราพร้อมต่อยอดธุรกิจภายใต้เครือข่าย 3M ที่เรามีอยู่ ความสามารถด้านฟินเทคที่เข็มแข็งของ JMART ร่วมกับการรวมระบบกระจายสินค้าและสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ได้วางแผนที่จะรวมเทคโนโลยีทางการเงินและ Crypto Digital Token เพื่อใช้ภายในเครือข่ายของกลุ่ม BTS ซึ่งจะสร้างประสบการณ์ใหม่และความสะดวกสบายให้แก่ฐานลูกค้าของเราได้ดียิ่งขึ้น” นายกวิน กล่าว
นายกวิน กล่าวอีกว่า บริษัทวางแผนปรับเปลี่ยนธุรกิจของ “ยู ซิตี้” จากทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม มาเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการเงินและการลงทุน เพราะโควิดแบบนี้ มองว่าธุรกิจอสังหาฯ พวกโรงแรม น่าจะไม่ใช่คำตอบ คาดภายใน 3-5 ปีนี้ ถ้ายังทำอสังหาริมทรัพย์ ไม่น่าจะมีกำไร อย่างช่วงโควิดโรงแรมในยุโรปรายได้ก็ค่อนข้างต่ำ ขาดทุนมาตลอดสำหรับโรงแรม จึงพยายามดึงเงินจากอสังหาฯ ไปอีกช่องทางหนึ่งคือ financial investments are (การลงทุนทางการเงิน) ซึ่งตอนนี้สภาพคล่อง U ค่อนข้างดี
“ยูชิตี้ ทรานฟอร์มแล้ว พยายามเอาเงินกลับมาใช้ diversify ไปเป็น Financial Service โดยได้คุยกับกลุ่ม JMART และเอาเงินที่ขายโรงแรมได้กว่า 1 หมื่นล้านบาทมาลงทุน Financial Service เข้าถือ JMARTและ SINGER” นายกวิน กล่าว
เจมาร์ท กำไรโตปีละ 50%
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART กล่าวว่า กลุ่ม JMART วางเป้าหมายมีกำไรเติบโตปีละ 50% ติดต่อกัน 3 ปี (ปี 2565-2567) หลังร่วมทุนกับ บีทีเอส กรุ๊ป โดยปีนี้คาดกำไรเติบโต 50% หลังครึ่งปีแรกโต 113% แล้ว ซึ่งจากนี้ไปอย่างน้อย 3 ปี ด้วยฐานทุนใหม่ ที่จะสร้างกำไรเติบโต 50% ต่อปีติดต่อกัน 3 ปีได้ และถ้ากำไรจะโตมากกว่า 50% ก็จะมาจากการ Synergy และพลังของแพล็ตฟอร์มที่จะทำร่วมกับ BTS
สำหรับการร่วมเป็นพันธมิตรกับVGI และ ยู ซิตี้บริษัทในกลุ่มบีทีเอสในครั้งนี้ ถือเป็นการเติบโตครั้งสำคัญของกลุ่ม JMART โดยได้ผนึกกำลังร่วมกับผู้นำที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจด้าน Offline-to-Online (O2O) โซลูชั่นส์ ที่มีธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจบริการชำระเงิน และ ธุรกิจโลจิสติกส์ ผสานด้านความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น การร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้จะช่วยปลดล็อกฐานเงินทุนของเราให้เพิ่มขึ้น และสร้างการเติบโตผ่านซินเนอร์ยี่ร่วมกัน ทั้งนี้ในอีก 3–5 ปีข้างหน้า โดนตั้งเป้าหมายในการใช้เงินผ่านการระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจ และลดต้นทุนทางการเงิน
ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่า JMART มีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอที่จะสามารถสร้างประสิทธิภาพในการเติบโต แม้ว่าจะเจอสถานการณ์ที่ท้าทายจากการแพร่ระบาดของโควิด–19 โดยปัจจุบันมูลค่ามาร์เก็ตแคปรวมของกลุ่มบริษัทมีกว่า 106,822 ล้านบาท คาดจะเติบโตไปกว่านี้ไม่น้อยกว่า 3 เท่า
นอกจากธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตยิ่งขึ้นแล้ว การเพิ่มทุนครั้งนี้จะเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนของกลุ่ม JMART ด้วยต้นทุนการเงินที่ลดลงของ SINGER และบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน)หรือJMT จะสะท้อนกลับมาที่ JMART ในแง่ของกำไรที่โดดเด่น
“JMART ตั้งเป้าหมายภาพรวมกำไรเติบโตไม่น้อยกว่า 50% ต่อปี ต่อไปอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งยังไม่นับรวมการผนึกพันธมิตรต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติมร่วมกับ VGI และ U City ภายในเครือข่าย 3M ของกลุ่ม BTS”นายอดิศักดิ์ กล่าวย้ำ
ทางด้านนายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT กล่าวว่า เมื่อดีลนี้เกิดขึ้น JMT จะมีเงินลงทุนเข้ามา โดยปี 2565 คาดลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อซื้อหนี้มาบริหาร และปี 2566 คาดใช้เงิน 2 หมื่นล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายขึ้นแท่นอันดับ 1 ในธุรกิจใจ 3 ปีข้างหน้า
ขณะที่นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SINGER กล่าวว่า เม็ดเงินที่จะได้ราว 1.06-1.1 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่ม 7 พันแห่งครบทุกตำบลทั่วไทย จากปัจจุบันกว่า 2,000 แห่ง และนำไปลดดอกเบี้ย ซึ่งปี 2565-2566 จะมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดราว 3.3 พันล้านบาท ซึ่งก็จะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงเยอะ คาดกำไรของบริษัทจะเติบโต 5 เท่า ในปี 2568 ตามการขยายตัวของพอร์ต พร้อมตั้งเป้าหมายขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจใน 5 ปีข้างหน้า
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น
