PF ลั่น Q2 เด้งบุ๊กขายทรัพย์เข้ารีทส์ ย้ำรายได้ปีนี้พุ่ง 21,370 ล้าน ลุยเปิด 6 โครงการใหม่
“PF” แย้มผลงานไตรมาส 2/64 เติบโต เหตุเตรียมบุ๊กส่วนแบ่งกำไรขายสินทรัพย์โรงแรมรอยัล ออคิดฯ ของ ROH มูลค่า 4,500 ล้านบาท เข้ากองรีทส์ บวกรับรู้รายได้ธุรกิจถุงมือยาง 3 พันล้านบาท พร้อมชี้ครึ่งปีหลังฟื้นต่อเนื่อง หลังรัฐเร่งฉีดวัคซีน ย้ำเป้ารายได้ปีนี้พุ่ง 21,370 ล้านบาท ลุยเปิดตามแผนปีนี้ 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 9,930 ล้านบาท
นายธีรธัชช์ สิงห์ณรงค์ธร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุน บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2564 จะเติบโตดีขึ้นจากไตรมาส 1/2564 ที่ผ่านมา แม้แนวโน้มการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยจะทรงตัว และธุรกิจโรงแรมจะยังไม่ฟื้นตัว แต่กระบวนการขายสินทรัพย์โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน โฮเทล แอนด์ ทาวเวอร์ส มูลค่า 4,500 ล้านบาท ให้กับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) จะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 2/2564 และบริษัทจะมีการบันทึกส่วนแบ่งกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ามาด้วย
สำหรับโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน โฮเทล แอนด์ ทาวเวอร์ส ดำเนินงานภายใต้บริษัท โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ROH โดยเป็นบริษัทย่อยของบริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAND ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ PF
ทั้งนี้ บริษัทประเมินว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยมีตัวแปรหลัก คือการเร่งกระจายฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชน และจะทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจมากขึ้น ส่งผลต่อเศรษฐกิจในประเทศกลับมาขับเคลื่อนได้ดีมากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการขายที่อยู่อาศัย ขณะที่ผู้ประกอบการต่างเร่งระบายสต็อกในพอร์ต โดยการออกแคมเปญต่าง ๆ ทั้งลด แลก แจก แถม ประกอบกับดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ซึ่งถือเป็นตลาดของผู้ซื้อ
ขณะที่บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้รวมปี 2564 ไว้ที่ 21,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 12,512.79 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากรายได้ของ PF จำนวน 13,070 ล้านบาท, รายได้จาก GRAND (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ PF) จำนวน 2,100 ล้านบาท, รายได้จากการขายที่ดิน จำนวน 3,100 ล้านบาท และรายได้จากการขายสิทธิการเช่า จำนวน 3,100 ล้านบาท
โดยสัดส่วนรายได้หลักในปี 2564 ยังคงมาจากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 1/2564 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) รวมมูลค่า 2,598 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปี 2564 ทั้งหมด โดยแบ่งเป็น Backlog โครงการคอนโดมิเนียม มูลค่า 807 ล้านบาท และเป็น Backlog โครงการแนวราบมูลค่า 1,585 ล้านบาท และเป็น Backlog โครงการคอนโดมิเนียมในประเทศญี่ปุ่น (Yu kiroro) มูลค่า 206 ล้านบาท
ส่วนเป้าหมายยอดขาย (Presale) ในปี 2564 บริษัทยังคงไว้ที่ 16,400 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดขายของ PF จำนวน 15,300 ล้านบาท และยอดขายจาก GRAND จำนวน 1,100 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา (มกราคม-พฤษภาคม) บริษัทมียอดขายรวมแล้ว 3,468 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 20% ของเป้าหมายทั้งปี
ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ จำนวน 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,930 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุน (JV) จำนวน1 โครงการ ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/2564 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว จำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการ 420 ล้านบาท และในเดือนมิถุนายน 2564 จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 1 โครงการ มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 4 โครงการ (รวมโครงการร่วมทุน) จะทยอยเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3/2564 ทั้งหมด
นายธีรธัชช์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของธุรกิจถุงมือยาง ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ ดำเนินงานภายใต้บริษัท แกรนด์ โกลบอล โกลฟส์ จำกัด (GGG) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GRAND และบริษัท วัฒนชัย รับเบอร์เมท จำกัดนั้น ปัจจุบันโรงงานที่ 1 ที่ตั้งอยู่บนที่ดิน 10 ไร่ มี 8 สายการผลิต มีกำลังการผลิต 21 ล้านกล่องต่อปี จะเดินเครื่องผลิตได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ และจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ในช่วงที่เหลือของปี 2564 (กรกฎาคม-ธันวาคม) ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีออเดอร์ (คำสั่งผลิต) แล้วใน 6 สายการผลิต ส่วนโรงงานหลังที่ 2 มีกำหนดสร้างเสร็จในช่วงปลายปี 2564 ซึ่งจะมีจำนวนเครื่องจักร 8 สายการผลิต ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกกำลังการผลิตรวม 21 ล้านกล่องต่อปี และคาดว่าในปี 2565 จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 9,999 ล้านบาท
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น