LWS ชี้อสังหาส่อติดลบผลกระทบโครงการใหม่
การบริหารจัดการการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ขณะนี้เป็นตัวแปรสำคัญของการขับเคลื่อนแผนธุรกิจและเป้าหมายการเติบโตจากความหวังที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายก่อนหน้านี้กลับมาปะทุหนักในเดือนเมษายนที่ผ่านมา กระทบเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom : LWS) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทปรับประมาณการธุรกิจอสังหาฯ ปี 2564 อยู่ที่ 5-6% ถึง -5% จากเดิมคาดว่าธุรกิจอสังหาฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแนวโน้มเติบโตได้ถึง 10% เทียบปี 2563 ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด โดยมอง 3 กรณี อิงการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2564 ของธนาคารแห่งประเทศไทย กรณีฐาน (Base Case) หากรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายใน 1 เดือน สามารถเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยได้ตามแผนเดือนกรกฎาคม ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่น้อยกว่า 3 ล้านคน ในปี 2564 และกระจายวัคซีนได้ตามแผนที่วางไว้ ตามการคาดการณ์ ธปท. เศรษฐกิจไทยปีนี้จะยังคงเติบโตที่ 3%
กรณีดังกล่าว LWS คาดตลาดอสังหาฯ เติบโตได้ 5-6% มีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 75,000-76,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 292,000-298,000 ล้านบาท เทียบเปิดตัวโครงการใหม่ปี 2563 จำนวน 70,126 หน่วย มูลค่า 276,630 ล้านบาท หากเป็น กรณีเลวร้าย ควบคุมการแพร่ระบาดได้ไตรมาสสองของปี 2564 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่ฟื้นตัวในปีนี้ ธปท.ประเมินกรณีเลวร้ายว่าเศรษฐกิจจะติดลบ 0.5% กระทบโดยตรงกับความมั่นใจของผู้บริโภคต่อรายได้ในอนาคต การว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และกระทบการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ประเมินว่าอสังหาฯ ปีนี้ทรงตัวใกล้เคียงปี 2563 โดยมียอดเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 70,000-71,000 หน่วย มูลค่า 270,000-280,000 ล้านบาท
สำหรับ กรณีเลวร้ายที่สุด ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ นักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวช้ากว่ากรณีฐานค่อนข้างมาก การแพร่ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์รุนแรงจนวัคซีนด้อยประสิทธิภาพลงจนไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ต้องมีการพัฒนาวัคซีนใหม่ กำลังซื้อภายในประเทศลดลง การว่างงานเพิ่มขึ้น กรณีนี้ ธปท. คาดเศรษฐกิจไทยปี 2464 จะติดลบ 1.7-2%สมมติฐานนี้ ทำให้ตลาดอสังหาฯ ติดลบ 5-6% เป็นการติดลบต่อเนื่องปีที่ 2 โดยการเปิดตัวโครงการใหม่ติดลบ 37% เทียบปี 2562 คาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปีนี้ 65,000-66,000 หน่วย มูลค่า 260,000-265,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ กรณีเลวร้ายที่สุดเป็นกรณีที่เราไม่คิดว่าจะเกิด แต่จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์แพร่ระบาดและการกลายพันธุ์ ที่มีสัญญาณว่า วัคซีนที่ผลิตออกมาอาจไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ในหลายประเทศ ทำให้โอกาสในการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจมีแนวโน้มไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศลดลง การว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้น กระทบตรงภาพรวมของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่อาจฟื้นตัวได้ช้ากว่าคาดการณ์แต่หากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคอสังหาฯ โดยเฉพาะ โดยเปิดให้สัดส่วนการถือครองอาคารชุดพักอาศัยของชาวต่างชาติได้มากกว่า 49% รวมถึงเปิดโอกาสให้สิทธิ์ในการซื้อบ้านพักอาศัยภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด จะเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญกระตุ้นตลาด
ที่มา: หนังสือพิมพ์ดอกเบี้ยธุรกิจ