จับสัญญาณบวกตลาดปลายปี64 ชี้6ปัจจัยปลุกอสังหาฯ ดีเวลลอปเปอร์ ปูพรมโปรเจกต์ใหม่รับกำลังซื้อฟื้น
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์หดตัวอย่างหนัก บรรยากาศซื้อขายที่อยู่อาศัยเงียบเหงาอย่างผิดหูผิดตา เมื่อเทียบกับตลาดในช่วงปี 2561 และปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดอสังหาฯ ไทยคึกคักมากที่สุดในรอบ 20 ปีก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ตลาดอสังหาฯ ซบเซาอย่างหนัก แม้ว่าผู้ประกอบการอสังหาฯ จะจัดแคมเปญกระตุ้นการตัดสินใจซื้อลูกค้า ซึ่งมีทั้งการลดราคาขายกว่า 30-40% แจกของแถมมูลค่าสูงๆ แต่ปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ต้องมีการล็อกดาวน์ประเทศ ภาวการณ์หดตัวเศรษฐกิจในประเทศ รวมไปถึงการเข้มงวดปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และการหดตัวของกำลังซื้อผู้บริโภค ทำให้ตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดไม่มีวี่แววฟื้นตัวกลับมา
อสังหาริมทรัพย์
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ หดตัวอย่างหนักบรรยากาศซื้อขายที่อยู่อาศัยเงียบเหงาอย่างผิดหู ผิดตา เมื่อเทียบกับตลาดในช่วงปี 2561 และปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่ตลาด อสังหาฯ ไทยคึกคักมากที่สุดในรอบ 20 ปีก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ในประเทศไทย ตลาดอสังหาฯ ซบเซา อย่างหนัก แม้ว่าผู้ประกอบการอสังหาฯ จะจัดแคมเปญกระตุ้นการตัดสินใจซื้อลูกค้า ซึ่งมีทั้งการลดราคาขายกว่า 30-40% แจกของแถมมูลค่าสูงๆ แต่ปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งทาให้ ต้องมีการล็อกดาวน์ประเทศ ภาวการณ์หดตัวเศรษฐกิจในประเทศ รวมไปถึงการเข้มงวดปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และการหดตัวของกาลังซื้อผู้บริโภคทำให้ตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดไม่มีวี่แววฟื้นตัวกลับมา
อย่างไรก็ตาม ความหวังของผู้ประกอบการอสังหาฯ ไม่เคยหมดไปเพราะต่างก็เชื่อมั่นว่าเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มลดลงจนกลับมาควบคุมได้ ก็จะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อและความเชื่อมั่นทั้งในฝั่งของ บริษัทอสังหาฯ และผู้บริโภค ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าในช่วงปลายปี 2564 นี้ตลาดอสังหาฯ จะทยอยฟื้นตัวกลับมาได้ เนื่องจากจำนวนการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส โควิด-19 จะเพิ่มมากขึ้นจนถึงระดับเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ภายในประเทศ จากการคาดการณ์ดังกล่าวทำให้บริษัทอสังหาฯ ต่างตั้งหน้าตั้งตารอสัญญาณบวก และภาวการณ์ฟื้นตัวของตลาดกลับมาอีกครั้ง
และดูเหมือนว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 นี้สัญญาณบวกและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจรวมถึงการฟื้นตัวในตลาดอสังหาฯ จะเริ่มชัดเจนมากขึ้น ทำให้ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีตลาดมีแนวโน้มกลับมาคึกคักอีกครั้ง แม้ว่าในฝั่งของผู้บริโภคนั้นกำลังซื้อจะยังไม่ฟื้นตัวกลับมาทั้งหมด แต่เมื่อดูจากแนวโน้มของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแล้วคาดว่าในปี 2565 นี้ กำลังซื้อในฝั่งของผู้บริโภคจะกลับมาชัดเจนมากขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อการขยายตัวในตลาดอสังหาฯ หรือมีสัญญาณที่ชัดเจนกลับมาให้เห็น
นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการบริษัท ฟีนิกซ์ พร็อเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยบวกที่เป็นเหมือนสัญญาณดีๆ หลายอย่างมีผลให้ผู้ประกอบการเริ่มขยับเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยใหม่มากขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของ ปี 2564 เห็นได้ชัดเจนเลยว่า ผู้ประกอบการบางรายมีการประกาศเปิดขายโครงการใหม่ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่เริ่มเห็นว่ามีการเปิดขายโครงการใหม่มากขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาส 3 แล้ว ในขณะที่โครงการบ้านจัดสรรก็ยังคงเป็นประเภทโครงการที่อยู่อาศัยที่ผู้ประกอบการเลือกเปิดขายในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ปัจจัย หรือสัญญาณบวกที่มีให้เห็นและผู้ประกอบการคาดหวังว่าจะมีผลให้ภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น คือ
1. จำนวนคนฉีดวัคซีนในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น ต่อเนื่อง โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ 2. จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่ลดลงต่อเนื่อง แม้ว่าจะยังมีจำนวนสูงอยู่ก็ตาม 3. การปลดล็อกดาวน์ของหลายธุรกิจ และกิจกรรมช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศที่มากขึ้น 4. การเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติจาก 63 ประเทศที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กำหนดสามารถเข้าประเทศไทยได้โดยที่ไม่ต้องกักตัว 5. การปลดล็อก LTV สำหรับบ้านหลังที่สอง กระตุ้นกำลังซื้อในกลุ่มที่มีความพร้อม และ 6. กิจกรรมทางการตลาดหรือกิจกรรมที่ต้องจัดให้คนจำนวนมากเข้าร่วมสามารถกลับมาทำได้อีกครั้งภายใต้มาตรการป้องกัน
ปัจจัยบวกหรือสัญญาณดีๆ ทั้ง 6 ปัจจัยนี้มีผลให้ผู้ประกอบการคาดหวังว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มมีทิศทางที่เป็นบวกมากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2565 ซึ่งหลายๆฝ่ายแสดงความมั่นใจว่าเศรษฐกิจในปี 2565 จะดีกว่า ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาแน่นอน การมีนักท่องเที่ยวต่างชาติในหลายๆ เมืองท่องเที่ยวนับเป็นสัญญาณที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยที่พึ่งพากำลังซื้อจากต่างชาติ แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะยังน้อยมาก เมื่อเทียบกับก่อนเกิดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย เพราะต้องให้เวลาในการตัดสินใจเดินทางเข้ามาในประเทศไทยของชาวต่างชาติด้วย
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมองถึงปีหน้ามากกว่า ที่จะคาดหวังว่าปีนี้จะสร้างรายได้หรือมีผลประกอบการที่ดี โดยโครงการต่างๆ ที่เปิดขายในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้เป็นการเปิดขายที่ผู้ประกอบการคาดหวังว่าสามารถทำกิจกรรมต่อเนื่องได้ถึงปีหน้า ไม่ได้คาดหวังว่าต้องปิดการขายหรือมีอัตราการขายที่สูงภายในปีนี้ และยังคงต้องระวังกันต่อเนื่อง เพราะปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวไปแล้วยังไม่มีผลต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจแบบชัดเจน แค่สร้างแรงกระเพื่อมในระบบเท่านั้น แต่ถ้าจำเป็นต้องล็อกดาวน์อีกครั้ง เพราะผู้ติดเชื้อมากขึ้น หรือเพราะเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ก็จะเป็นการซ้ำเติมระบบเศรษฐกิจประเทศมากกว่าเดิม ผู้ประกอบการจึงยังเลือกที่จะเปิดขายโครงการแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่ต้องเลือกทำเล รูปแบบโครงการอย่างพิถีพิถันก่อนที่จะเปิดขายโครงการ และทยอยเปิดไล่ๆ กันไป ไม่ใช่การเปิดขายแบบพร้อมๆ กันทีละหลายโครงการอีกแล้ว
รายงานข่าวจากบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ เสนาฯ มีแผนจะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง โดยจะเปิดตัวโครงการแนวราบ 2 โครงการ รวมมูลค่า 2,356 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ เสนา วิลเลจ รามอินทรา กม. 9 และโครงการเสนา เวล่า เทพารักษ์-บางบ่อ ส่วนโครงการแนวสูงจะเปิดตัว 6 โครงการ รวมมูลค่า 3,133 ล้านบาท โดยจะเปิดตัว คอนโดฯแบรนด์ “เสนาคิทท์” ซึ่งเป็นไฟติ้งแบรนด์ ของ เสนาฯในปีนี้ ประกอบด้วย เสนาคิทท์ บีทีเอส สะพานใหม่, เสนาคิทท์ เอ็มอาร์ที บางแค, เสนาคิทท์ ศรีด่าน, โครงการ SENA ECO Town รังสิต สเตชั่น, โครงการ นิช โมโน พระราม 9 และโครงการ เฟล็กซี่ สาทร-เจริญนครเป็นโครงการที่เทกโอเวอร์เข้ามาพัฒนาต่อ
เมื่อนับรวมโครงการเปิดใหม่ทั้งแนวราบและ แนวสูงจะทำให้ในไตรมาส 4 ของปีนี้ เสนาฯ มีโครงการเปิดใหม่ทั้งสิ้น 8 โครงการ โดยโครงการที่เปิดตัวในไตรมาส 4 นี้ ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เลื่อนเปิดขายมาจากกำหนดการเดิมที่จะเปิดขายในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยโครงการที่นำมาเปิดขายในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มีความพร้อมที่จะเปิดขายอยู่แล้ว โดยเฉพาะโครงการที่จับกลุ่มตลาดกลาง-ล่างแต่รอจังหวะและสัญญาณที่ดีจากตลาด ซึ่งหลังจากมีการปลดล็อกดาวน์ เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และปลดล็อกมาตรการ LTV จึงเป็นช่วงที่เหมาะจะนำโครงการที่มีความพร้อมกลับมาเปิดตัวในช่วงปลายปี 2564 นี้
นอกจากค่ายเสนาฯ และบริษัท ออริจิ้น ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัท มีการ เปิดตัวโครงการใหม่หลายๆ โครงการพร้อมๆ กันใน ช่วงไตรมาส 4 โดยมีการเปิดตัวโครงการใหม่มากถึง 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,295 ล้านบาทซึ่งตามแผนธุรกิจออริจิ้นฯ จะแบ่งการเปิดตัวโครงการใหม่เป็นคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่าโครงการ รวม 1,695 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. โครงการออริจิ้น เวลเนส เรสซิเดนซ์ แบริ่ง 2. ออริจิ้น เวลเนส เรสซิเดนซ์ รามอินทรา 3. บริกซ์ตัน เกษตร ศรีราชา แคมปัส และโครงการบ้านจัดสรร 6 โครงการ มูลค่าโครงการ รวม 4,600 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. โครงการไบรตัน บางปะกง 2. บริทาเนีย แพรกษา สเตชั่น 3. บริทาเนีย ติวานนท์-ราชพฤกษ์ 4. แกรนด์ บริทาเนีย พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา 5. แกรนด์ บริทาเนีย นนทบุรี สเตชั่น 6. แกรนด์บริทาเนีย สุวรรณภูมิ
ขณะที่บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) คือ อีกหนึ่งค่ายอสังหาฯ ประกาศปูพรมเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายรวดเดียว 12 โครงการ มูลค่ารวม 8,570 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่ารวม 5,010 ล้านบาท ด้วยจุดขาย “พลิกแนวคิดชีวิต แนวตั้ง” กับทาวน์โฮมแบรนด์บ้านกลางเมือง ประกอบด้วย โครงการบ้านกลางเมือง The Edition พหลโยธินรามอินทรา มูลค่า 630 ล้านบาท, บ้านกลางเมือง สุขุมวิท-อ่อนนุช มูลค่า 650 ล้านบาท
โครงการทาวน์โฮมภายใต้แบรนด์พลีโน่ ประกอบด้วย โครงการแกรนด์ พลีโน่ พหลฯ-วิภาวดี มูลค่า 1,120 ล้านบาท, พลีโน่ ปิ่นเกล้า-จรัญฯ 2 มูลค่า 270 ล้านบาท, พลีโน่ ปิ่นเกล้า-จรัญฯ 3 มูลค่า 300 ล้านบาท, แกรนด์ พลีโน่ บางนา-อ่อนนุช มูลค่า 410 ล้านบาท, พลีโน่ ราชพฤกษ์-สาทร มูลค่า 560 ล้านบาท, พลีโน่ วิภาวดีดอนเมือง มูลค่า 890 ล้านบาท และโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์เซนโทร 3 โครงการใหม่ ซึ่งย้ำจุดยืน“บานที่เขาใจชีวิต” มูลค่า 3,560 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ เซนโทร ปิ่นเกล้า มูลค่า 1,620 ล้านบาท, เซนโทรดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ มูลค่า 1,100 ล้านบาท และโครงการเซนโทรบางนา-ศรีนครินทร์ มูลค่า 840 ล้านบาท
ส่วน บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งแม้ใน ช่วงปลายปีนี้จะไม่มีการโหมเปิดโครงการใหม่พร้อมกันหลายๆ โครงการ แต่ศุภาลัยฯ ถือเป็นค่ายเดียวที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ในทุกๆ ไตรมาสตามแผนธุรกิจ ที่มีการประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี โดยในช่วงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ได้เปิดตัวศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร คอนโดมิเนียม High Rise ใจกลางเมือง และล่าสุด เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวลักชัวรี ภายใต้แบรนด์ใหม่ “เอเลแกนซ์” บนทำเลบนถนนบรมราชชนนี มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท หลังจากสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 มีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้น
“หากเทียบจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่กับ ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปลายปีนี้ถือว่ามีจำนวนไม่มาก แต่หากเทียบกับไตรมาส 4 ปีก่อน และทุกๆ ไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2564 ในไตรมาส 4 ของปีนี้ ถือว่ามีจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่มากเป็นพิเศษ ซึ่งน่าจะเกิดจากปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็นการเปิดประเทศรับ นักท่องเที่ยวต่างชาติ การปลดล็อกดาวน์ทั่วประเทศ และการปลดล็อกดาวน์ LTV ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจัยบวกต่างๆ ที่เข้ามาจะไม่ชัดเจนมาก แต่ก็เป็นสัญญาณบวกที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต่างก็รอคอยอยู่ ดังนั้น เมื่อสัญญาณตลาดและแนวโน้มตลาดเป็นใจจึงทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯที่รอจังหวะการเปิดโครงการใหม่กลับมาทำตลาดได้อย่างเต็มที่ใน
ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา