THANAแบ็กล็อกจ่อ520ล.เร่งปั๊มรายได้แตะพันล้าน
THANA อวดแบ็กล็อกปัจจุบันเกือบ 520 ล้านบาท คาดบุ๊กรายได้ปีนี้ทั้งหมด เตรียมเปิดตัว 2 โครงการใหม่ช่วงครึ่งปีหลัง มูลค่ารวม 1.57 พันล้านบาท แย้มแผนเพิ่มทุนขยายธุรกิจ พร้อมเล็งสร้างคอนโด คาดชัดเจนอีก 1-2 ปี ใส่เกียร์ปั๊มรายได้วิ่งชนเป้า 1 พันล้านบาท
นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังปี 2565 บริษัทจะเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,570 ล้านบาท โดยเปิดไปแล้ว 1 โครงการได้แก่ โครงการร่วมทุน อนาบูกิ ธนาฮาบิแทต ราชพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 1,070 ล้านบาท และอีกหนึ่งโครงการในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 อีก 1 โครงการ ธนาวิลเลจ วงแหวนปิ่นเกล้า-ศรีรัช มูลค่า 500 ล้านบาท
กางแผนเพิ่มทุน
นอกจากนี้บริษัทมีแผนการเพิ่มทุน ซึ่งหลังจากนี้จะมีการประชุมหารือในช่วงปลายปีนี้ เพื่อขยายโครงการที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีแผนในระยะ 3 ปี ในการเปิดโครงการมากขึ้น รวมถึงจะร่วมกับพันธมิตร “อนาบูกิ โคซัน” บริษัทอสังหาริมทรัพย์จากญี่ปุ่น โดยเป็นอสังหารายกลางจากจังหวัดคากาวะ พัฒนาโครงการในภาคตะวันตกของญี่ปุ่นเป็นหลัก ซึ่งมีผลประกอบการเฉลี่ยปีละ 30,000 ล้านบาท และมีการเพิ่มสินค้าในทุกเซ็กเมนต์ ขยายไปยังพื้นที่ใหม่ๆ และมองหาโอกาสก่อสร้างคอนโดมิเนียม คาดจะชัดเจนขึ้นในช่วง 1-2 ปีหลังจากนี้
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 2/2565 อยู่ที่เกือบ 520 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถโอนและรับรู้เป็นรายได้ในครึ่งปีหลังนี้ทั้งหมด สำหรับโครงการที่รอโอนกรรมสิทธิ์ ได้แก่ 1. ธนาฮาบิแทต กรู๊ฟ ปิ่นเกล้า-สิรินธร 2. อนาบูกิ ธนาฮาบิแทต สะพานมหาเจษฎาบดินทร์-ราชพฤกษ์ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับกลุ่มอนาบูกิ 3. ธนาฮาบิแทต ปิ่นเกล้า-สิรินธร 4. ธนาคลัสเตอร์ ราชพฤกษ์ 5. ธนาคลัสเตอร์ เวสต์เกต 6. สิริวิลเลจ อุดรธานี- แอร์พอร์ต และบริษัทยังมีสินค้าพร้อมขาย (Inventory) รวมอีกกว่า 700 ล้านบาท จากโครงการทั้งหมดมูลค่า 3,000 ล้านบาท ที่จะสามารถส่งมอบทันที
ผลงานเข้าเป้า
ส่วนผลการดำเนินงานปีนี้บริษัทมั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี โดยคาดว่ายอดขายปีนี้จะอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท แบ่งออกเป็น ยอดขายของบริษัทเอง 700 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน 500 ล้านบาท ขณะที่รายได้บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น รายได้ของบริษัทเอง 700 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน 300 ล้านบาท
อีกทั้งบริษัทมีแผนรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) แต่ละโครงการให้อยู่ที่ระดับ 32-35% ส่วนในปี 2566 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตที่ 1,600 ล้านบาท และในปี 2567 ที่ 2,400 ล้านบาท ตามลำดับ
“สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นบริษัทคงไม่ได้เพิ่มขึ้นได้สัดส่วนที่มากนัก แต่อาจจะกระทบกับ อารมณ์ความรู้สึกของผู้ที่กำลังจะซื้อบ้าน แต่ปัจจุบันยังเห็นยอดผู้เข้าชมโครงการอย่างหนาแน่นในทุกโครงการของบริษัท แต่ด้านราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง เพราะเป็นปัจจัยหลักกดดันการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคมากกว่า” นายสุทธิรักษ์ กล่าว
Reference: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น