LPNแจงแบ็กล็อกโอนปี64เกือบ2,000ล.ตลท.บรรจุให้บริษัทเป็นSHOWCASEสู้วิกฤตโควิด
”แอล.พี.เอ็น.” เผยตลาดหลักทรัพย์ฯ บรรจุให้บริษัทเป็น Showcase รับมือวิกฤต โควิด-19 แจงแม้รายได้จากการขาย อสังหาฯ จะปรับลดลง 31.16% แต่กลยุทธ์การส่งเสริมรายได้ประจำเติบโต 30.16% เดินหน้าสร้างโครงการส่งมอบลูกค้าแล้ว 9 โครงการ ยอดขายปี 63 ได้ผลทำทะลุ 10,000 ล้านบาท แบ็กล็อกเสริมรายได้ในปี 64 มูลค่า 1,900 ล้านบาท หลักๆพอร์ตคอนโดฯ
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “LPN” เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย ในปี 2563 ว่า เป็นช่วงกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่หยุดชะงัก ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งบริษัทได้ปรับแนวทางการดำเนินงาน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ดังกล่าว โดยมีการจัดทำแผนเผชิญวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นการปรับเป้ายอดขาย รายได้ให้สอดคล้องกับสภาวะวิกฤต แผนทางการตลาดเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ และวางกลยุทธ์การขายผ่านช่องทางออนไลน์ในการเพิ่มยอดขาย รวมถึงการปรับตัวโครงการใหม่ เพิ่มกลุ่มเป้าหมายนักลงทุนรายใหญ่ รวมถึงการลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ประจำจากห้องชุดที่ขายเป็นห้องชุดเพื่อเช่า
อีกทั้ง แผนเสริมสภาพคล่อง โดยการบริหารจัดการให้มีกระแสเงินสด สามารถรองรับการดำเนินธุรกิจได้ไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยงบดุลเงินสดล่าสุด สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2563 และปี 2562 กระแสเงินสดรวมสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 414.56 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า สาเหตุหลักเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการ และสำรองไว้เผชิญภาวะวิกฤต ลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ชะลอแผนการก่อสร้างบางโครงการ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้างบางส่วน แต่ยังคงเร่งก่อสร้างโครงการที่มียอดซื้อเพื่อให้โครงการแล้วเสร็จ เพื่อทำการส่งมอบให้กับลูกค้าได้ตามเวลา อีกทั้งตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังบรรจุให้บริษัทเป็น Showcase ในปี 2563 เรื่องการรับมือสถานการณ์โควิด-19 ได้ดีอีกด้วย
“บริษัทยังประสบความสำเร็จเกี่ยวกับเซกเมนต์กลุ่มบ้านพักอาศัย ทำให้มียอดขาย New High ในรอบ 5 ปี”
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 63 มีรายได้รวม 7,362.83 ล้านบาท ลดลง 26.03% แยกเป็น รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 6,001.26 ล้านบาท ลดลง 31.16% โดยรายได้จากการขายอสังหาฯส่วนใหญ่ 70% มาจากการรับรู้รายได้จากอาคารชุดพักอาศัยและอีก 30% เป็นการรับรู้รายได้จากบ้านพักอาศัย รายได้จากอาคารชุดพักอาศัยมีรายได้รวม 4,283.28 ล้านบาท ลดลง 30.71% บ้านพักอาศัยทำได้ 1,718 ล้านบาท ลดลง 32.25%
รายได้จากธุรกิจให้เช่าและบริการ เพิ่มขึ้น มาอยู่ระดับ 225.19 ล้านบาท หรือเติบโต 30.16% ส่วนใหญ่เป็นโครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิตคลอง 1 เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว และรายได้จากการทำธุรกิจรับจ้างบริหารจัดการ 1,136.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8%
โดยในด้านการพัฒนาโครงการ อาคารชุดมีโครงการสร้างแล้วเสร็จ 9 โครงการ มูลค่า 8,500 ล้านบาท และมีเปิดตัวโครงการใหม่ 8 โครงการ มูลค่า 8,500 ล้านบาท (คอนโดฯ 3 โครงการและบ้านพักอาศัย 3 โครงการ)
ในด้านยอดขาย สามารถทำได้ 10,400 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้(แบ็กล็อก) รวม 2,200 ล้านบาท ที่จะทยอยไปส่งมอบในปี 2564 มูลค่า 1,900 ล้านบาท เป็นโครงการอาคารชุด 1,200 ล้านบาท และบ้านพักอาศัย 700 ล้านบาท และในปี 2565 อีก 300 ล้านบาทในส่วนของอาคารชุดพักอาศัย ผลกำไรสุทธิลดลง 42.97% เกิดจากรายได้จากการขายที่ลดลง 31.16% อันเนื่องมาจากโควิด-19 ต่อเนื่องจากต้นปี 63 ส่วนรายได้จากธุรกิจเช่าและบริการ เพิ่มขึ้น 30.16% หนี้สินรวมเพิ่มเป็น 11,789 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.30% เป็นผลมาจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เพื่อใช้ในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 2,050.93 ล้านบาท จาก 7,641.02 ล้านบาท เป็น 9,691.95 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 26.84% ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่มี ดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เพิ่มเป็น 0.82:1 เท่า และ 1:1 ตามลำดับ
Reference: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา